หากจะบอกว่าไอซ์แลนด์เป็นหนึ่งในสวรรค์ของนักท่องเที่ยวแบบสายลุย เที่ยวชมธรรมชาติ ก็คงจะไม่ผิดนัก ไอซ์แลนด์เป็นประเทศที่อยู่ในยุโรปเหนือ หรือที่เรามักจะได้ยินอยู่บ่อยๆ ว่าเป็นประเทศแถบนอร์ดิก ภูมิประเทศมีลักษณะเป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่สองของยุโรปและตั้งอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ โดยไอซ์แลนด์ยังมีลักษณะทางด้านธรณีวิทยาที่น่าสนใจอยู่ก็คือการมีผืนดินที่ค่อนข้างใหม่ ตั้งอยู่บนแนวแผ่นเปลือกที่แยกตัวระหว่างแผ่นทวีปอเมริกาเหนือและแผ่นทวีปยูเรเชียออกจากกัน จึงมีภูเขาไฟกระจายอยู่ทั่วเกาะ ซึ่งภูเขาไฟบางลูกก็ยังคุกกรุ่นอยู่
นอกจากนั้นภายใต้ผืนดินของไอซ์แลนด์ยังมีพลังงานความร้อนใต้พิภพอยู่ในระดับที่สูง จึงทำให้มีน้ำพุร้อนมากมาย จนได้รับการขนานนามว่าดินแดนแห่งไฟและน้ำแข็ง เราจึงได้รวบรวมกิจกรรมในไอซ์แลนด์ตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในไอซ์แลนด์ที่ถูกใจสายลุยมานำเสนอ มีอะไรกันบ้าง มาดูกันเลย
1.) ตะลุยหิมะและปีนธารน้ำแข็งที่ธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป
กิจกรรมแรกที่เราอยากจะแนะนำนักท่องเที่ยวสายลุยนี้จะอยู่ที่ธารน้ำแข็ง Vatnajökull หรือที่แปลว่าธารน้ำแข็งแห่งมวลสายธาร เป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในไอซ์แลนด์และยุโรป เป็นสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับกิจกรรมตะลุยหิมะและปีนธารน้ำแข็งเป็นที่สุด โดยกิจกรรมนี้จะมีหลายระดับให้เลือกตามความเหมาะสม ตั้งแต่ง่ายจนถึงยากสุดๆ โดยการเดินทางมักจะเริ่มตั้งแต่การเที่ยวชมด้านล่างของธารน้ำแข็งและการเดินบนธารน้ำแข็งภายใต้การดูแลของผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด เยี่ยมชมรอยแยก แม่น้ำและวิวทิวทัศน์ที่งดงามในบริเวณของ ธารน้ำแข็ง Vatnajökull หากอยากเพิ่มระดับความยาก ก็สามารถเยี่ยมชมน้ำตกที่กลายเป็นน้ำแข็ง พืดน้ำแข็งหรือกระทั่งการปีนผาน้ำแข็งก็น่าตื่นเต้นสุดๆ
สำหรับธารน้ำแข็ง Vatnajökull นั้นเป็นธารน้ำแข็งที่มีขนาดใหญ่ปกคลุมบริเวณของประเทศไอซ์แลนด์กว่า 8% หรือมีความกว้างกว่า 8,100 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ที่อุทยานแห่งชาติ Vatnajökull National Park ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศไอซ์แลนด์
2.) ดำน้ำ (Diving) ที่รอยแยก Silfra
แม้จะฟังดูเป็นกิจกรรมที่ทำได้ยากในดินแดนที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง แต่การดำน้ำแบบ SCUBA diving ก็เป็นกิจกรรมลุยๆ ที่โด่งดังในประเทศไอซ์แลนด์
รอยแยก Silfra เป็นรอยแยกที่ตั้งอยู่ที่อุทยานแห่งชาติ Thingvellir National Park รอยแยกแห่งนี้ตั้งอยู่ระหว่างแผ่นเปลือกโลกทวีปอเมริกาเหนือและทวีปยูเรเชีย เกิดขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1789 จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว สิ่งที่ทำให้รอยแยกนี้โดดเด่นกว่ารอยแยกอื่นๆ หลายจุดที่เกิดขึ้นระหว่างเหตุการณ์แผ่นดินไหวเดียวกันนั้นก็คือน้ำที่อยู่ในรอยแยกเป็นน้ำที่มาจากการละลายของธารน้ำแข็ง Langjökull ที่อยู่ใกล้ๆ กับรอยแยก Silfra
นอกจากนั้นรอยแยก Silfra นี้ยังได้แยกผ่านน้ำพุใต้ดิน ทำให้มีน้ำไหลผ่านรูพรุนของลาวาใต้พิภพ น้ำจะใช้เวลาเดินทางถึง 30 – 100 ปีก่อนจะมาถึงน้ำพุใต้ดินดังกล่าว จึงทำให้ระบบนิเวศภายในมีความอุดมสมบูรณ์อย่างมาก น้ำภายในรอยแยกจะมีอุณหภูมิเฉลี่ย 2–4°C นักท่องเที่ยวจึงสามารถมาดำน้ำได้ แต่ต้องสวมใส่ชุดดำน้ำแบบแห้ง (Dry suite) เท่านั้น
3.) ล่องเรือและพายเรือแคนู
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการล่องแพและพายเรือแคนู ที่ประเทศไอซ์แลนด์ก็มีลำธารที่มีลักษณะเป็น White Water หรือน้ำที่ไหลอย่างรวดเร็วผ่านเนินในแม่น้ำลำธารจนเกิดเป็นฟองคลื่นสีขาวเต็มแม่น้ำ ซึ่งน้ำแบบ White Water เหมาะกับการทำกิจกรรมล่องแพและพายเรือแคนูเป็นอย่างมาก ที่ Hvítá ก็เป็นแม่น้ำหนึ่งที่นักท่องเที่ยวที่มาที่ไอซ์แลนด์นิยมมาทำกิจกรรมล่องแพและพายเรือแคนูกัน ชื่อของแม่น้ำนี้แปลว่าแม่น้ำสีขาว เป็นแม่น้ำระดับ 2 ทางตอนใต้ของประเทศไอซ์แลนด์ในเขต Arnessysla สามารถเดินทางแบบไป-กลับใน 1 วันได้จากเมือง Reykjavik
ที่แม่น้ำ Hvítá นี้จะมีน้ำตกชื่อว่า Gullfoss Waterfall หรือน้ำตกทองคำ เป็นน้ำตกที่มีความสูงถึง 32 เมตร ไหลลงผ่านหุบเขาสองหุบเขาทำให้มีความสวยงามยิ่งใหญ่อย่างมาก จนได้รับฉายาว่าไนแองการาแห่งไอซ์แลนด์และเป็นหนึ่งในมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกอีกด้วย
4.) เดินป่า ชมธรรมชาติและสัตว์ป่าหายาก
นักท่องเที่ยวสามารถเลือกเดินป่าเพื่อชมนกพัฟฟินและหมาจิ้งจอกอาร์กติกได้ที่ Látrabjarg bird cliffs ใน Westfjords เป็นจุดชมนกทะเลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไอซ์แลนด์และยุโรป หรือจะเลือกไปเดินป่าที่น้ำตก Dynjandi น้ำตกทางตะวันตกเฉียงเหนือ ที่จะเป็นน้ำตกที่ไหลลงผ่านชั้นหินที่จะสวยเป็นพิเศษในยามอาทิตย์ตก
น้ำตก Seljalandsfoss ที่ตั้งอยู่ระหว่างเมืองเซลฟอส (Selfoss) กับเมืองสโคคาร์ฟอสส์ (Skogafoss) ทางตอนใต้ของประเทศ มีความสูงกว่า 60 เมตร และ น้ำตก Svartifoss ซึ่งโดดเด่นด้วยชั้นหินลาวาสีดำสมฉายา Black Waterfall
นอกจากนั้นยังมีเส้นทางเดินป่าผ่านแคนยอนอย่างปล่องภูเขาไฟ Krafla ภูเขาไฟรูปกระจาดที่เป็นแหล่งพลังงานไฟฟ้าที่สำคัญแห่งหนึ่งในไอซ์แลนด์ หรือเดินชมแคนยอน Fjaðrárgljúfur แคนยอนที่เกิดจากชั้นลาวาภูเขาไฟที่ถูกธารน้ำแข็งกัดเซาะจนมีลักษณะเป็นหุบเขาที่มีความลึกกว่า 100 เมตรและมีความกว้างกว่า 2 กิโลเมตร
5.) เยี่ยมชมถ้ำตามธรรมชาติ
ไม่ใช่แค่น้ำตก ภูเขาไฟหรือหุบเขาเท่านั้น ไอซ์แลนด์เป็นหนึ่งในประเทศที่มีถ้ำทางธรรมชาติที่สวยงาม สามารถให้นักท่องเที่ยวสามารถเยี่ยมชมได้ทุกฤดูกาล ไม่ว่าจะเป็นถ้ำธารน้ำแข็งที่สามารถเยี่ยมชมได้ในช่วงฤดูหนาวหรือถ้ำที่เกิดจากลาวาของภุเขาไฟที่ระเบิดและเย็นแล้ว สามารถเยี่ยมชมได้ตลอดทั้งปี
ถ้ำ Vatnshellir เป็นหนึ่งในถ้ำลาวาที่ได้รับความนิยม มีอายุมากกว่า 8,000 ปี ตั้งอยู่ที่คาบสมุทร Snæfellsnes ที่จะต้องเยี่ยมชมภายใต้การดูแลของไกด์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะจะต้องเดินเข้าไปกว่า 200 เมตรเพื่อเข้าไปถึงในถ้ำ และเดินต่อไปอีก 35 เมตรเพื่อเยี่ยมชมธรรมชาติใต้พื้นพิภพที่มืดสนิทเพราะไม่มีแสงใดจากภายนอกเล็ดลอดเข้ามาเลย จนหากนักท่องเที่ยวปิดไฟฉายระหว่างที่อยู่ในถ้ำ ก็อาจจะมองไม่เห็นแม้ดระทั่งมือของตัวเอง
6.) เที่ยวชมและแช่น้ำพุร้อน
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าไอซ์แลนด์ตั้งอยู่บนจุดที่ยังมีความร้อนใต้พิภพค่อนข้างสูง ทำให้เกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เรียกว่าน้ำพุร้อนผุดขึ้นมาจากพื้นดินให้นักท่องเที่ยวได้เยี่ยมชมและลงแช่เพื่อสุขภาพกัน น้ำพุร้อน Reykjadalur ที่อยู่ห่างจาก Reykjavík เมืองหลวงของไอซ์แลนด์เพียงแค่ 45 นาทีเท่านั้น โดยบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติแห่งนี้จะมีบ่อโคลนรวมอยู่ด้วย
โดยนักท่องเที่ยวจะต้องเริ่มเดินทางจากจุดทางลาด Rjúpnabrekkur Ptarmigan ซึ่งจะมีทั้งที่จอดรถและร้านค้า ก่อนจะต้องเดินเท้าเพื่อไปยังน้ำพุร้อน Reykjadalur ที่อยู่ห่างไปอีกประมาณ 3 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราวๆ 1 ชั่วโมง ระหว่างที่เดินทาง ก็จะได้ชมธรรมชาติหุบเขาที่สวยงามเพราะว่าน้ำพุร้อน Reykjadalur อยู่ใกล้กับภูเขาไฟ Hengill ภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของไอซ์แลนด์
บ่อน้ำพุอีกที่ที่น่าสนใจก็คือ Hellislaug ในเขตการปกครอง Westfjords ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนตะวันตกเฉียงเหนือของไอซ์แลนด์ น้ำพุร้อนแห่งนี้จะเป็นบ่อหินผสมคอนกรีต ตั้งอยู่หลังหน้าผาบนชายฝั่งของอ่าว Breiðafjörður ทำให้มีความเงียบสงบและบรรยากาศเหมาะกับการพักผ่อน
7.) ชมวาฬและโลมา
กิจกรรมสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดสำหรับสายลุยในไอซ์แลนด์ก็คือการชมวาฬในช่วงหน้าร้อน ด้วยความที่ชายฝั่งของไอซ์แลนด์นั้นจะมีกระแสน้ำเย็น ทำให้กลายเป็นจุดที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมสำหรับวาฬกว่า 20 สายพันธุ์ สำหรับจุดชมวาฬที่ได้รับความนิยมจะเป็นหมู่บ้านชาวประมงที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศไอซ์แลนด์ที่ชื่อว่า Húsavík
จุดเด่นของไอซ์แลนด์ก็คือในหน้าร้อนจะไม่มีกลางคืนเลยตลอด 24 ชั่วโมง ดังนั้นการชมวาฬจะเริ่มตั้งแต่ตอนกลางวันและช่วงหัวค่ำ โดยจะออกจากหมู่บ้าน Húsavík ในช่วง 2 ทุ่มไปยังใจกลางอ่าว Skjalfandi ในทะเลกรีนแลนด์ในจุดที่น้ำสงบและเฝ้ารอดูวาฬหลังค่อมหรือวาฬมิงค์ว่ายหยอกล้อกันในอ่าวที่ต้องกับแสงแดดจนสะท้อนเป็นประกายสีทอง นอกจากนั้นนักท่องเที่ยวยังอาจจะได้เจอทั่งโลมาพอร์พอยส์และนกหลากหลายสายพันธุ์ที่อ่าว Skjalfandi ได้อีกด้วย
อ่านบทความอื่นๆของเรา : อ่านบทความได้ที่นี่
สนใจโปรแกรมทัวร์ไอซ์แลนด์
- โปรแกรมทัวร์ไอซ์แลนด์ ฤดูร้อน
- โปรแกรมทัวร์ไอซ์แลนด์ ฤดูหนาว-ล่าแสงเหนือ (เส้นรอบเกาะ ring road)
- โปรแกรมทัวร์ไอซ์แลนด์ ฤดูหนาว ล่าแสงเหนือ ถ้ำน้ำแข็ง