ซาฟารีแทนซาเนีย ครั้งหนึ่งของชีวิตกับ(Tanzania Safari)
เดินทางไปกลางทุ่งหญ้าแห่งเซเรงเกติ ส่องสรรพสัตว์นับล้าน ตามล่าหาบิ๊กไฟว์ พบปะกับชนเผ่ามาไซ ซาฟารีแทนซาเนีย
การมาซาฟารีที่แทนซาเนียคืออีกหนึ่งกิจกรรมที่ถือได้ว่าเป็นสุดยอดของการเดินทางในอีกรูปแบบหนึ่งของสายผจญภัย
ความสะดวกสบายอาจจะไม่ใช่ความเป็นที่สุดของทริปนี้ เพราะที่นี่คือแอฟริกาแต่แน่นอนว่าความแตกต่างจากประเทศอื่นๆที่เราเคยไปมาอย่างพลิกฟ้านี่ละที่ทำให้แทนซาเนียกลายเป็นอีกหนึ่งประเทศที่คนมาเที่ยวมากที่สุดของโลก
ลองทิ้งความรู้สึกของการเห็นสัตว์ตามสวนสัตว์ที่ไร้ซึ่งอารมณ์หรือความหมายของการมีชีวิตอยู่ มาให้เห็นความเป็นไปของชีวิต การเกิดขึ้นหรือการถูกล่าอันหมายถึงชีวิตตามธรรมชาติของมันเองแบบในหนังสารคดีที่เราเห็นตั้งแต่สมัยเด็กๆ
เดี๋ยวผมจะพาทุกท่านเดินทางเข้าสู่ทุ่งหญ้าสะวันนากันแล้ว
แล้วมาตามพร้อมกันไปนะครับว่าจะน่าสนุกหรือตื่นเต้นเพียงไหน
ประเทศแทนซาเนีย (Tanzania)
เริ่มต้นซาฟารีแทนซาเนีย ที่ อุทยานแห่งชาติทาแรงกิเร (Tarangire National park)
ในเขตภาคเหนือของแทนซาเนีย อุทยานแห่งชาติที่เราจะเดินทางไปถึงเป็นที่แรกก็คือที่นี่ครับ “อุทยานแห่งชาติทาแรงกิเร” ทีนี่มีเอกลักษณ์ที่มี “ต้นเบาบับ” อยู่เป็นจำนวนมาก และมีจำนวนโขลงช้างแอฟริกาที่ถือว่ามากที่สุดของประเทศแทนซาเนีย
ทาแรงกิเร (Tarangire) เป็นภูมิประเทศแบบ Woodland savannah มีแม่น้ำทาแรงกิเรไหลผ่าน
กลายเป็นหลอดเลือดสำคัญของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดทั้งมวลของอุทยานแห่งชาติที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ห้าของประเทศแทนซาเนีย
เมื่อเรามองจากยอดเขาลงไปยังแม่น้ำเบื้องล่างจะเป็นจุดชัยภูมิที่ดีที่สุดในการดูสัตว์ที่แวะวนมาหากินตามเขตริมแม่น้ำ
ฝูงม้าลายที่มากินน้ำริมแม่น้ำทาแรงกิเร
แอฟริกันริฟต์วัลเลย์ (East African Rift Valley)
จากทาแรงกิเร ผมไปต่อยังเขตที่ราบสูงทางตอนเหนือของประเทศ โดยได้พักค้างคืนที่ Lake Manyara Wildlife Lodge ที่ตั้งอยู่บนริมหน้าผาเหนือเขตของภูเขาที่เราเรียกว่า “แอฟริกัน ริฟต์ วัลเลย์” (East African Rift Vallety)
โดยเขตนี้เป็นเขตรอยต่อของแผ่นเปลือกโลกจำนวน 2 แผ่นใหญ่คือ Nubian plate และ Somali plate โดยแผ่นเปลือกโลกสองแผ่นนี้ค่อยๆเคลื่อนตัวกันออกอย่างช้าๆ ในอีก 10 ล้านปีข้างหน้า ทวีปแอฟริกาจะแยกออกเป็นสองส่วนโดยมีทะเลคั่นอยู่ตรงกลาง และรอยต่อของทะเลอันนั้นก็คือจุดที่ผมกำลังยืนอยู่
ทางฝั่งซ้ายมือคือทะเลสาบมันยารา (Lake Manyara) และทางฝั่งขวามือคือริฟต์วัลเล่ย์ที่ยกตัวขึ้น ก่อนเส้นทางจะนำผมไปสู่เขตที่ราบสูงโกรองโกโร่า (Ngorongoro)
Ngorongoro Conservation area (NCA)
หลังจากผ่านที่อยู่ของชุมชนแห่งสุดท้ายที่เมือง Karatu เราจะเข้าสู่เขตอนุรักษ์โกรองโกโร่ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ในพื้นที่นี้จะมีแต่ชาวมาไซเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้อยู่อาศัยได้ นอกจากนี้ที่นี่ยังมีปากปล่องภูเขาไฟที่ดับแล้วที่ชื่อว่า “โกโรงโกโร่” (Ngorongoro crater) ที่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสุดยอดสถานที่ซาฟารีตั้งอยู่อีกด้วย แต่ในวันนี้ผมจะเดินทางไปยังเซเรงเกติก่อน แล้วในขากลับจะค่อยมาแวะที่นี่อีกครั้ง
Masaai Boma หมู่บ้านของชาวมาไซ
ถ้านับจำนวนประชากรแทนซาเนียที่ประกอบขึ้นด้วยคนหลายร้อยเผ่าแล้ว แต่เรากลับรู้จักคนเผ่าหนึ่งเป็นอย่างดี ด้วยสีสันของเสื้อผ้าที่เด่นสะดุดตากว่าใคร ขนบธรรมเนียมประเพณีและการใช้ชีวิตแบบผู้เร่ร่อนยังคงอนุรักษ์ไว้ได้เฉกเช่นอดีต อีกทั้งถิ่นที่อยู่อาศัยที่อยู่บนเขตที่ราบสูงตอนเหนือ ณ บริเวณที่เรียก ที่ราบสูงโกรองโกโร่ (Ngorongoro) อันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวดูสัตว์ป่าชื่อดังของโลก คนเผ่านี้เลยกลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปไปในเวลาเดียวกัน
การเยี่ยมชมหมู่บ้านชาวมาไซที่เรียกว่า “โบม่า” (Boma) คือกิจกรรมที่ห้ามพลาดอย่างเด็ดขาด โดยเส้นทางระหว่างนั้นเราจะพบกับโบม่าจำนวนมากมายรวมถึงชาวบ้านที่มายืนพบปะกับนักท่องเที่ยวเพื่อเรียกให้เราไปดูหมู่บ้านของพวกเขาแลกกับค่าเข้าชมที่เขาจะได้รับกลับคืนไป
Masaai women (En-tito)
สังคมของชาวมาไซ นั้นเป็นสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่อย่างชัดเจน ผู้ชายมีหน้าที่ออกล่าสัตว์ เลี้ยงดูแลฝูงสัตว์ ส่วนผู้หญิงนั้นจะอยู่ที่บ้านคอยหาน้ำ ทำกับข้าวและเลี้ยงดูลูกๆที่เกิดขึ้น
ด้วยความที่ชาวมาไซถือว่าแต่งงานกันค่อนข้างเร็ว และเป็นสังคมโพลีกามี่ (Pologamy) คือสามีสามารถมีภรรยาได้มากเท่าที่ต้องการ การจะเห็นเด็กเล็กๆวิ่งไปมาในหมู่บ้านจำนวนมากจึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
การเข้ามาชมภายในโบม่า จะมีการแสดงร้องเพลงประจำเผ่า การกระโดดอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวมาไซ รวมถึงสาธิตวิธีการจุดไฟด้วยวิธีทางธรรมชาติ คือใช้มือเปล่าปั่นกับไม้อย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นความร้อนขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วรีบจุดไฟด้วยมูลสัตว์ที่เตรียมไว้แล้ว
นักรบมาไซ หรือ โมราน (Massai Warrior or Moran)
เมื่อเด็กชายชาวมาไซอายุได้ 14 ปี ถ้าเป็นในสมัยก่อนการจะพิสูจน์ตนเองว่าจะกลายเป็นนักรบที่สมบูรณ์ก็ต้องไปฆ่าสิงโตต่อหน้านักรบรุ่นพี่คนอื่นๆถึงจะได้รับการยอมรับ
แต่ปัจจุบันไม่สามารถทำอย่างนั้นได้แล้ว ตอนนี้เด็กชายทุกคนที่ผ่านกระบวนการขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ (circumcision) ก็ถือว่ากลายเป็นนักรบ (Moran) โดยสมบูรณ์ได้เช่นเดียวกัน โดยหลังจากผ่านพิธีกรรมนั้นแล้วเขาต้องทาหน้าด้วยสีขาวแล้วคลุมผ้าคลุมสีดำเป็นเวลา 4 เดือน หลังจากจะถือว่ากระบวนการเปลี่ยนผ่านจากเด็กสู่ผู้ใหญ่เป็นอันเสร็จสมบูรณ์
Olduvai Gorge “The Cradle of the Humankind”
ที่นี่เป็นอีกหนึ่งสถานที่ๆมีการขุดค้นพบร่องรอยของการมีอยู่ของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ หลักฐานรอยเท้าของบรรพบุรุษของมนุษยชาติรุ่นแรกเริ่มที่ค้นพบบนดินภูเขาไฟถูกทับถมมาหลายล้านปีหรือแม้กระทั่งโครงกระดูกและเครื่องมือหินกระเทาะที่เป็นหลักฐานชี้ชัดว่าแทนซาเนียหรือภูมิภาคแอฟริกาตะวันออกคือจุดเริ่มต้นอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์เราในยุคเริ่มต้นจากลิงมาสู่คนที่เดินหลังตรงแล้วค่อยๆออกจากทวีปแอฟริกาไปยังส่วนต่างๆของโลกเช่นในปัจจุบันนี้
คู่รักข้าวใหม่ปลามัน ไซร้กันไป ไซร้กันมา ไกด์บอกว่าใกล้จะได้เวลาติ๊ดชิ่งกันแล้ว ไอเราก็ดีใจรออีกตั้งนาน มนุษย์ก็มาสุมหัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าสิงโตคู่นี้เลยหมดอารมณ์ขี้เกียจทำอะไรไปดื้อๆ 555+
อุทยานแห่งชาติเซเรงเกติ (Serengeti National park)
เมื่อเราเข้าสู่เขตของอุทยานแห่งชาติเซเรงเกติ (Serengeti National park) คำว่า เซเรงเกติ เป็นคำมาจากภาษาของชาวมาไซที่แปลว่า “Endless plain” หรือ “พื้นที่ๆไม่มีที่สิ้นสุด”
เพราะสุดสายตาของเราจะเป็นพื้นอันกว้างใหญ่สุดสายตาที่มองหาขอบไม่มีวันเจอ
จำนวนความหนาแน่นของสัตว์ป่าก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลไปทุกๆตารางเมตร
ระบบนิเวศอันยิ่งใหญ่ที่สัตว์ทุกชนิดเชื่อมโยงถึงกันทำให้ที่นี่เป็นจุดดูสัตว์ป่าที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเรา
ตอนนี้ฝูง “ฮาร์ทบีสต์” (Heartbeast) กำลังจ้องมองคนแปลกหน้าอย่างพวกเราที่กำลังจ้องหน้ามันอยู่
ตราบใดที่เราไม่ได้เข้าใกล้พวกเขามากเท่าไรนัก เขาก็ยินดีจะให้เรายืนมองกันไปแบบนี้
Grant’s gazelle สัตว์กินพืชกลุ่ม Antelope อาหารอันโอชะของสิงโต
และสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับทุ่งหญ้าสะวันนาแห่งเซเรงเกติคือ การได้พบกับสัตว์ที่วิ่งได้เร็วที่สุดในโลกอย่าง “ชีต้าร์” (Cheetah) นั่นเอง
การจะส่องหาชีตาร์เป็นอะไรที่ต้องมีความลุ้นอยู่บ้างเนื่องด้วยลักษณะการใช้ชีวิตที่ไม่ได้อยู่เป็นสังคมแบบสิงโต ชีตาร์มักจะอยู่อาศัยกันตัวเดี่ยวๆหรือเป็นคู่ และลายของตัวก็มักจะพรางไปกับสีของหญ้า ทำให้การตามหาชีต้าร์เป็นกิจกรรมที่ได้ลุ้นตลอดทาง
ชีต้าร์เป็นหนึ่งในกลุ่ม Big cat ที่เราตามหาคือ สิงโต เสือดาว และชีต้าร์นั่นเองครับ
แคมป์กลางทุ่งหญ้าสะวันนา (Kati Kati Tented camp)
ที่พักของผมกลางทุ่งหญ้าสะวันนาแห่งเซเรงเกติคือที่นี่ครับ “แคมป์คาติ คาติ” (Kati Kati Tented camp)
เต็นท์ของที่นี่ถูกสร้างมาให้กลมกลืนกับธรรมชาติมากที่สุดครับ ที่นี่ไม่มีระบบประปาหรือไฟฟ้าของรัฐบาล ทุกอย่างจะเป็นการใช้น้ำบาดาลรวมถึงไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ทั้งสิ้น
และที่สำคัญที่สุดคือ ที่ตั้งของเต็นท์ก็ตั้งอยู่กลางทุ่งหญ้าสะวันนาเช่นเดียวกัน นั่นหมายถึงว่า เรากำลังมานอนอยู่ที่เดียวกับสรรพสัตว์ต่างๆ
เลยเป็นที่มาของช่วงกลางคืน ที่บรรดาสัตว์ต่างๆโดยเฉพาะช้าง ควายป่า หรือหมาไนไฮยีน่าจะเดินป้วนเปี้ยนรอบเต๊นท์ส่งเสียงร้องสร้างช่วยเสริมสร้างบรรยากาศให้กับการนอนของผมได้เป็นอย่างดี
ที่นี่เป็นแคมป์ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานครบทุกอย่างคือ เตียงนุ่มๆ หมอนใบโตๆ ผ้าห่ม กระติกน้ำ โต๊ะเครื่องแป้ง อ่างล้างมือ ชักโครก หรือแม้กระทั่งฝักบัวอาบน้ำอุ่น
ถือว่าเป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อและน่าตื่นเต้นมากๆเมื่อเทียบกับจุดที่ผมอยู่ ณ ตอนนี้
นอกเหนือจากที่พักแล้ว อาหารก็ย่อมไม่ธรรมดาเช่นเดียวกันครับ อาหารเช้าในสไตล์ breakfast ก็ยกเครื่องมาจัดเต็มกันกลางทุ่งหญ้าเช่นเคย ไม่มีคำว่าอดหรือกินไม่ได้
ถามว่าสิงโตไม่เกรงกลัวคนบ้างเลยเหรอ เขาบอกว่า ตราบใดที่เรายังอยู่บนรถ พวกเขาก็มองเราเหมือนกับช้างตัวใหญ่ๆตัวหนึ่ง
ถ้าเราเดินออกจากรถเมื่อไร เราจะกลายเป็นเหยื่อผู้อ่อนแอทันที แต่ทั้งนี้ ถ้าสิงโตอิ่มแล้ว ต่อให้เราเดินไปใกล้ๆ ยังไงเขาก็ไม่ยุ่งกับเราเผลอๆเดินหนีอีกเพราะรำคาญ 555+
อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ มนุษย์เราเข้ามาในเซเรงเกติเป็นระยะเวลาที่นานมากแล้ว และสิงโตรุ่นปัจจุบันก็คือรุ่นเด็กๆในสมัยก่อนที่เห็นมนุษย์บ่อยๆจนกระทั่งกลายเป็นความเคยชินและไม่ได้รู้สึกแปลกหน้าอีกแล้ว
ที่นี่เซเรงเกติ เราเลยแทบจะเข้าใกล้สิงโตได้ใกล้มากจนน่าเหลือเชื่อครับ
Cute little Cubs
และก็แน่นอนแล้ว ส่วนใหญ่เมื่อเจอแม่สิงโตอยู่เป็นกลุ่ม ลูกๆสิงโตก็มักจะวิ่งเล่นอยู่แถวๆนั้น
บรรดาแม่ๆก็เฝ้าจ้องมองดูลูกๆของตัวเองอยู่ห่างๆ
ครอบครัวม้าลาย แม่กับลูก
ครอบครัวหมูป่า แม่กับลูกๆ อีกเช่นกัน
เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องของธรรมชาติ
ระบบนิเวศของที่นี่เป็นเรื่องของธรรมชาติทั้งสิ้น มนุษย์เราจะไม่เข้าไปยุ่งเด็ดขาด
สิงโตกำลังคาบหมูป่าที่พึ่งล่ามาสดๆร้อนๆ กำลังนำกลับไปยังแหล่งที่อยู่เพื่อเป็นอาหารสำหรับตนเองและลูกน้อยในวันนี้
วินาทีสุดตื่นเต้นในระหว่างการเดินทางซาฟารีแทนซาเนีย
หินแบบนี้เรียกว่า “Kopje”
ก็คือหินแบบเดียวกับที่เราเห็นในไลอ้อนคิงส์นั่นเองครับ
และหินพวกนี้ก็คือบ้านของพวกเหล่าๆสิงโตอีกเช่นกัน
ถ้าเราเจอหินก้อนใหญ่ๆ ให้สังเกตไปที่บริเวณจุดอับแสงแดดเราจะเจอสิงโตไปหลบแดดได้ไม่ยาก
หรือถ้าแดดไม่แรงพอการมองไปบนก้อนหินก็จะเจอสิงโตได้บ่อยๆเช่นเดียวกัน
ฝูงเหล่า Grant’s gazelle ที่บริเวณหน้าที่พัก
อย่างที่บอกไปแล้วว่าที่พักของผมก็คือเซเรงเกติ ไม่มีรั้วใดๆที่กั้นระหว่างสัตว์ป่าและมนุษย์
Grant’s gazelle เป็นสัตว์กลุ่ม antelope ที่พบได้มากที่สุดชนิดหนึ่งของเซเรงเกติ
สิงโตปีนต้นไม้ (Climbing lion)
สิงโตตัวเมียเป็นสัตว์อีกชนิดหนึ่งที่สามารถปีนต้นไม้ไปนอนบนกิ่งได้ โดยเฉพาะต้นที่มีความชันในการปีนไม่มาก และการอยู่บนต้นไม้ของสิงโตจะไม่ได้หาพุ่มไม้ไปพรางตัว ซึ่งตรงกันข้ามกับเสือดาว (Leopard) ที่จะใช้ประโยชน์จากลายของลำตัวในการพรางตัวจนยากที่จะสังเกตเห็นได้ง่ายๆ
จ้องมา จ้องกลับ สบายใจ ทั้งคนมองและคนถูกมอง
หลังจากออกจากเซเรงเกติ ผมกลับมาที่ปากปล่อง ภูเขาไฟโกโรงโกโร่ (Ngorongoro) อีกครั้ง เพื่อพักยังบนขอบปากปล่องภูเขาไฟที่ดับแล้ว โดยเบื้องล่างของก้นปากปล่องก็คือที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่านับหมื่นนับแสนชีวิตที่อัดแน่นกันอยู่ในภายพื้นที่แห่งนี้
โรงแรมที่ผมเข้าพักคือ “Ngorongoro Wildlife Lodge” ที่ถือว่าเป็นโรงแรมที่มีทำเลที่ตั้งดีที่สุด โดยห้องทุกห้องจะมองเห็นปากปล่องเบื้องล่าง
และนี่คือวิวที่เราจะเห็นจากหน้าต่างที่พักในห้องนอนตอนเช้า ของขวัญจากธรรมชาติสำหรับผู้ที่ตื่นเช้าอีกเช่นเคย ธรรมชาติไม่เคยทำให้ใครผิดหวังครับ
ภูเขาไฟโกรงโกโร่ (Ngorongoro crater)
ได้เวลาขับรถลงไปเบื้องล่างกันครับ ต้องลองจินตนาการภาพตามกันไปนะครับว่าสภาพของก้นปากปล่องภูเขาไฟลักษณะหน้าตาเป็นเช่นไร
เนื่องจากภูเขาไฟลูกนี้ดับไปหลายล้านปีแล้ว และดินบริเวณนี้ก็ถือว่าอยู่ในสภาพที่อุดมสมบูรณ์มาก มีทะเลสาบอยู่ตรงกลางที่น้ำไม่เคยแห้งแม้ต่อให้เป็นฤดูร้อน มีหญ้าขึ้นเขียวชอุ่มทั้งปี บรรดาสัตว์ต่างๆที่ได้ย้ายอพยพลงมาหากินยังก้นปากปล่องอันนี้ในรุ่นแรกๆก็เหมือนกับว่าตนเองได้พบที่พักพิงที่แท้จริง ไม่จำเป็นต้องเที่ยวอพยพไปตามฤดูกาล (migration) อีกแล้ว พวกมันจึงอยู่ตั้งรกรากที่นี่แบบจริงจัง พร้อมกับขยายเผ่าพันธุ์จนเติบใหญ่เต็มไปหมด
หลังจากนั้นผู้ล่า (predator) จึงตามมาเช่นสิงโต ที่นี่เป็นที่ๆมีความชุกของสิงโตต่อตารางกิโลเมตรที่มากที่สุดในโลก Ngorongoro จึงกลายเป็นสถานที่ดูสัตว์ป่าที่ดีที่สุดอีกแห่งหนึ่งของแทนซาเนียที่เรียกว่ามาได้ทั้งปี เพราะสัตว์ไม่ได้ย้ายไปไหนครับ และห้ามมีการค้างคืนเบื้องล่าง โดยหลังเวลาหกโมงเย็นของทุกวัน รถทุกคันต้องขับขึ้นไปยังปากปล่องด้านบน
Common Eland อีกหนึ่งสัตว์ประจำถิ่นของโกโรงโกโร่
เบื้องหน้าคือบรรดาสัตว์ต่างๆที่มาอาศัยอยู่รวมกัน เบื้องหลังคือตัวริมขอบปากปล่องโกโรงโกโร่ที่เหมือนกับเป็นป้อมปราการธรรมชาติที่ทำให้สัตว์ทั้งหมดยังคงอาศัยอยู่ภายใต้ก้นปล่องแห่งนี้
แล้วในที่สุดเราก็หากันจนเจอกับเจ้า “แรดดำ” (Black Rhino) แรดดำ จัดเป็นสัตว์ที่อยู่ในภาวะเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์ขั้นสูงสุด
ภายในก้นปากปล่องแห่งนี้นับจำนวนแรดดำที่มีอยู่เพียงสิบกว่าตัวเท่านั้น การพบแรดดำจึงเป็นความบังเอิญบนความโชคดีขั้นสูงสุดของทริปนี้เลยก็ว่าได้ครับ
……….
ติดตามแผนการเดินทางประจำปี พ.ศ.2565 เป็นต้นไปได้ที่นี่
ทริปแห่งความทรงจำ ล้ำค่าไปด้วยประวัติศาสตร์ขนานแท้ รอคุณมาค้นพบด้วยตัวคุณเอง
หรือถ้าหากท่านต้องการให้เราจัดกลุ่มส่วนตัวสำหรับครอบครัวของท่าน เราก็ยินดีเช่นกันเพื่อจะทำให้การเดินทางข้ามทวีปครั้งนี้เป็นความทรงจำที่ดีแบบไม่มีวันลืม
- สอบถามเพิ่มเติม โทร : 096 640 4534
- แอด Line : https://line.me/R/ti/p/%40patourlogy