สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี หรือที่รู้จักกันในชื่อเกาหลีเหนือ เป็นหนึ่งในประเทศที่มีการจำกัดสิทธิของประชาชนมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แต่รัฐบาลกลับสามารถโน้มน้าวให้ประชาชนยังเชื่อมั่นในความชอบธรรมของรัฐได้ ซึ่งเครื่องมือที่รัฐใช้นั่นก็คือปรัชญาการพึ่งพาตนเอง ที่เรียกว่า “จูเช่” หรือ “ปรัชญาจูเช่”
เกาหลีเหนือจะมีหลายสิ่งที่เป็นเรื่องแปลกในสายตาชาวโลกทั้งในด้านสังคมและรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการเฉลิมฉลองงานแต่งงานหน้ารูปปั้นคิม อิล-ซ็อง ผู้นำคนแรกของเกาหลีเหนือ การมีความเชื่อที่ว่าคิมจองอิลหรือท่านผู้นำคนที่สองเป็นผู้คิดค้นเมนูแฮมเบอร์เกอร์ขึ้น (ถ้าจะพูดให้ถูกตามที่มีการอ้างถึงคืออาหารที่มีขนมปังสองแผ่นประกบกับเนื้อ) หรือแม้แต่การอ้างว่ารัฐบาลเกาหลีเหนือภายใต้การนำของคิมจองอึนได้พยายามพัฒนายามหัศจรรย์ที่สามารถรักษาได้ทั้งโรคเอดส์และอีโบลา อะไรมันจะเหลือเชื่อได้ขนาดนั้น
ซึ่งสิ่งที่ทำให้ความเชื่อเหล่านี้เกิดขึ้นได้ในหมู่ชาวเกาหลีเหนือก็คือ ปรัชญาจูเช่ (Juche Ideology) แนวคิดการพึ่งพาตนเองในแบบฉบับเกาหลีเหนือ คิดค้นโดยผู้นำคิม อิล-ซ็อง ว่าด้วยการที่ประชาชนเป็นผู้กุมชะตาชีวิตตนเองและช่วยสร้างชาติให้แข็งแกร่งและเป็นเอกเทศได้โดยไม่ต้องพึ่งพาต่างชาติ โดยแนวคิดนี้ได้รับอิทธิพลมาจากหลายๆ ลัทธิ ส่วนใหญ่จะได้รับ
ที่มาของแนวคิด
แนวคิดมาจากลัทธิมาร์กซิสม์ (Marxism) และดึงแนวคิดบางส่วนมาจากลัทธิขงจื๊อ, แนวคิดจากจักรวรรดินิยมญี่ปุ่นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 และลัทธิชาตินิยมเกาหลีแบบดั้งเดิม ซึ่งสิ่งที่มีเหมือนกันในกลุ่มแนวคิดการพึ่งพาตนเองเหล่านี้คือการปฏิเสธที่จะถูกควบคุมทางการค้าและการพึ่งพาผู้อื่น
หลักคำสอนของปรัชญาจูเช่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้นำเกาหลีเหนือในขณะนั้น ซึ่งไม่มีหลักตายตัวและชัดเจนซะทีเดียวว่าความเชื่อของผู้นำเป็นอย่างไรและมีการใช้โฆษณาชวนเชื่อหรือที่รู้จักกันว่าพร็อพพากันด้า (Propaganda) มากแค่ไหน แต่ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเกาหลีเหนือกล่าวว่าการปลูกฝังอุดมการณ์ของปรัชญาจูเช่มีความลึกซึ้งมากจนชาวเกาหลีเหนือจำนวนมากมีความเชื่อเกี่ยวกับการกล่าวอ้างทั้งหลายของรัฐบาลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
แม้บางครั้งปรัชญาจูเช่นี้จะถูกอ้างว่าเป็นแนวคิดที่แสดงถึงรูปแบบการปกครองแบบสังคมนิยมที่มีการต่อต้านอิทธิพลจากต่างประเทศ, การใฝ่หาความเป็นเอกราช และมีการใช้อำนาจอย่างสุดโต่งก็ตาม ถึงกระนั้นเกาหลีเหนือในอดีตไม่ได้ปิดกั้นตัวเองเหมือนประเทศจำศีลขนาดนั้น แต่ยังทำการค้าและรับความช่วยเหลือจากประเทศในกลุ่มสังคมนิยมมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงยุคล่มสลายของสหภาพโซเวียตทำให้เกาหลีเหนือถูกคว่ำบาตรจากนานาประเทศและปิดประเทศในที่สุด
ในช่วงยุค 1960 และ 1970 สหภาพโซเวียตอยู่ภายใต้การนำของนิกิตา ครุชชอฟ (Nikita Khrushchev) ซึ่งสืบทอดตำแหน่งมาจากโจเซฟ สตาลิน และต่อมาเลโอนิด เบรจเนฟ (Leonid Brezhnev) ก็ได้ขึ้นมาเป็นผู้นำสหภาพโซเวียตคนที่ 5 ต่อจากนิกิตา ขณะนั้นเองโซเวียตพยายามดึงเกาหลีเหนือเข้ามาเป็นหนึ่งในประเทศกลุ่มคอมิคอน (Comecon) สภาเพื่อความช่วยเหลือซึ่งกันและกันทางเศรษฐกิจของสหภาพโซเวียต คล้ายๆ กับสหภาพยุโรปหรือ EU แต่หลังจากโซเวียต
พยายามส่งนักการทูตเข้ามาเจรจาหลายครั้ง คิม อิล-ซ็องก็ได้ปฏิเสธเข้าร่วมกลุ่มคอมิคอน แม้ว่าการเข้าร่วมจะทำให้เศรษฐกิจและการค้าภายในประเทศดีขึ้น แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความเป็นเอกราชของเกาหลีเหนือและการที่ประชาชนจะต้องตกเป็นอาณาประชาราษฎร์ของสหภาพโซเวียต ซึ่งหลายคนวิเคราะห์ว่าในช่วงนั้นมีการแตกแยกระหว่างจีนและโซเวียต การปฏิเสธของคิม อิล-ซ็องอาจเป็นไปเพื่อหลีกเลี่ยงไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากเกินไป
ในช่วงยุค 1950 เกาหลีเหนือประสบปัญหาทั้งในด้านการเมืองและเศรษฐกิจ ด้วยความที่เป็นประเทศเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างสองชาติมหาอำนาจอย่างจีนและสหภาพโซเวียต ซึ่งขณะนั้นทั้งสองชาติไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันสักเท่าไหร่ และเกาหลีเหนือเองก็ไม่อยากจะเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากเกินไป ทำให้ไม่สามารถรับเอาอุดมการณ์สตาลินของสหภาพโซเวียตหรือลัทธิเหมาของจีนมาได้อย่างเต็มที่
นอกจากนี้เกาหลีเหนือยังเป็นประเทศใหม่หลังจากเพิ่งแยกกับเกาหลีใต้ คิม อิล-ซ็อง ซึ่งขึ้นมาเป็นผู้นำเกาหลีเหนือจึงแก้ปัญหาโดยการสร้างแนวคิดขึ้นมาใหม่ร่วมกับพวกพ้องจนเกิดเป็นปรัชญาจูเช่ เริ่มต้นด้วยอุดมการณ์ “การพึ่งพาตนเอง” ซึ่งมีองค์ประกอบสามประการ คือ
- เอกราชทางอุดมการณ์
- ความพอเพียงทางเศรษฐกิจ
- ความเป็นอิสระทางการทหารจากอิทธิพลของจักรวรรดิ
แต่อุดมการณ์เหล่านี้ก็ไม่ได้ถูกนำมาใช้อย่างจริงจัง เนื่องจากเศรษฐกิจของเกาหลีเหนือยังต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากสหภาพโซเวียตเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประโยชน์ในเชิงการทูต และด้วยการยกความเป็นเอกราชมาเป็นอุดมการณ์หลักนี้เองทำให้เกาหลีเหนือไม่สามารถเข้ากับฝ่ายจีนหรือสหภาพโซเวียตได้อย่างสมบูรณ์
เมื่อแนวคิดจูเช่ทำให้ผู้นำเกาหลีเหนือเปรียบเสมือนพระเจ้า
แนวคิดหลักของปรัชญาจูเช่ในช่วงเริ่มแรกนั้นขึ้นอยู่กับรัฐบาลกำหนด โดยจูเช่ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างคิม อิล-ซ็องและรัฐเกาหลีเหนือที่เพิ่งก่อตั้งเข้ากับแนวคิดของชาวเกาหลีทั่วไป โดยเป็นการผสมผสานระหว่างลัทธิมาร์กซิสม์ของประเทศคอมมิวนิสต์กับลัทธิชาตินิยมเกาหลีแบบดั้งเดิม ในขณะที่มีการกล่าวอ้างว่าเกาหลีใต้ไม่ใช่รัฐบาลที่จัดตั้งขึ้นอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่เป็นเครื่องมือของประเทศมหาอำนาจระบบทุนนิยมอย่างสหรัฐอเมริกา
นอกจากนี้เกาหลีเหนือยังมีหลักคำสอนว่าด้วยความเป็นชนชาติบริสุทธิ์ของชาวเกาหลี โดยใช้ความเชื่อทางประวัติศาสตร์และภาษาที่จักรพรรดินิยมญี่ปุ่นเคยใช้ในการกล่าวอ้างว่าชาวเกาหลีเหนือเป็นมนุษย์กลุ่มแรก และพวกเขายังเหนือกว่าประเทศอื่นๆ ด้วยเหตุผลที่ว่าพวกเขาสามารถรักษาความบริสุทธิ์ไว้ได้แตกต่างจากคนชาติอื่นๆ ที่เป็นพวกนอกรีต และเป็นข้ออ้างในการหันหลังและไม่เปิดรับกับเศรษฐกิจโลก
สิ่งที่น่าสนใจ คือ ปรัชญาจูเช่เป็นการดัดแปลงหลักคำสอนขงจื๊อแบบดั้งเดิม ว่าด้วยมนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้หากพวกเขามีระบบความคิดที่ถูกต้อง และจูเช่สอนว่าผู้ที่ครอบครองความมีสติสัมปชัญญะอย่างแท้จริงคือผู้นำของเกาหลีเหนือ และถ้าอยากมีชีวิตที่ดีขึ้นก็ต้องปรับเจตจำนงของตัวเองให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้นำ จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่คิม อิล-ซ็องได้รับความเคารพนับถือจากชาวเกาหลี ทำให้พร็อพพากันด้าของที่นี่มีความศักดิ์สิทธิ์ แม้กระทั่งการจัดงานแต่งงานยังต้องมีการเฉลิมฉลองบริเวณหน้ารูปปั้นของคิม อิล-ซ็อง
จุดประสงค์ของปรัชญาจูเช่
คือ ต้องการให้ประชาชนมีความจงรักภักดีต่อท่านผู้นำ แต่การจะโน้มน้าวใจผู้คนได้ต้องสร้างชุดความเชื่อหรือพิธีกรรมบางอย่างที่มีความลึกซึ้งเสมือนพิธีกรรมทางศาสนา ดังนั้นรัฐจึงใช้สื่อในการบอกประชาชนว่าสถานที่ฝังศพของคิม อิล-ซ็องและคิมจองอิลเป็น “วัดศักดิ์สิทธิ์ของปรัชญาจูเช่” เนื่องจากเกาหลีเหนือมีการควบคุมสื่ออย่างเข้มงวดทำให้ประชาชนไม่สามารถรับรู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับศาสนาได้เลยนอกจากข้อมูลที่รัฐป้อนให้ ไม่มีแม้แต่สื่ออิสระที่ไม่ถูกควบคุมโดยรัฐ ยกเว้นประชาชนบางส่วนที่อาจมีการเสพสื่อจากต่างประเทศอย่างลับๆ ด้วยเหตุนี้การที่ประชาชนสามารถรับสื่อได้ด้านเดียวจึงไม่แปลกหากพวกเขาจะคิดว่าตระกูลคิมสามารถทำได้ทุกอย่างที่มีการกล่าวอ้าง
แต่หากจะถามว่าปรัชญาจูเช่มีหลักคำสอนอะไรบ้างอาจจะไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจนมากนัก เนื่องจากแนวคิดการพึ่งพาตนเองนั่นขึ้นอยู่กับความต้องการในอำนาจของตระกูลคิมในขณะนั้น ไม่ได้มีกฎหรือคำสอนที่ยึดถือให้ปฏิบัติเหมือนอย่างไบเบิล แต่ใช้การควบคุมสื่อและการยกระดับสถานะท่านผู้นำให้เปรียบเสมือนพระเจ้า ซึ่งจะเห็นได้ชัดหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในช่วงยุค 1990 และไปนำสู่ภาวะขาดแคลนอาหารครั้งใหญ่ คิมจองอิลที่เป็นผู้นำในขณะนั้นจึงพัฒนาภาคผนวกของปรัชญาจูเช่แบบดั้งเดิม เรียกว่า ซอนกุน (Songun) หรือ “กองทัพต้องมาก่อน”
ซอนกุนสอนว่า การที่จะสามารถเป็นเอกราชและพึ่งพาตนเองได้นั้น เกาหลีเหนือจำเป็นต้องมีกองทัพที่แข็งแรงก่อน ทั้งนี้เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการให้อาหารกับทหารก่อนประชาชนทั่วไปว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดรัฐประหารด้วย ซอนกุนยังเป็นข้ออ้างที่ใช้ในการแสวงหาอาวุธนิวเคลียร์ แม้ว่าต่างชาติจะประณามโครงการอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือและมีการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ แต่คิมจองอิลแย้งกลับว่าโครงการนี้จะช่วยรักษาความเป็นเอกราชทางการทหารได้ ชาวเกาหลีเหนือเองจึงต้องทนทุกข์เพื่อให้ประเทศอยู่รอด อย่างไรก็ตามซอนกุนยังไม่ได้เข้ามาแทนที่จูเช่ซึ่งเป็นปรัชญาหลักของเกาหลีเหนือ แต่เป็นเหมือนการตีความหลักคำสอนของจูเช่เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของรัฐบาลในสมัยนั้นมากกว่า
ต่อมาในปี ค.ศ. 2013 คิมจองอึนได้สร้าง นโยบายบยองจิน (Byungjin) ขึ้น แนวคิดพื้นฐานของบยองจินคือการพัฒนาแบบควบคู่ ทั้งการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและการทหารให้มีความเท่าเทียมโดยไม่จัดลำดับว่าสิ่งใดสำคัญกว่า ซึ่งถือว่าเป็นแนวคิดที่ค่อนข้างขัดแย้งกับซอนกุนของคิมจองอิลผู้เป็นพ่อ และปู่ของเขา คิม อิล-ซ็อง ที่เห็นควรในการปล่อยให้ประชาชนทนทุกข์และเศรษฐกิจซบเซาเพื่อรักษาให้ประเทศชาติอยู่รอด เป็นการเน้นย้ำความคิดของคิมจองอึนว่าเกาหลีเหนือต้องมีการพัฒนาในด้านเศรษฐกิจเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น
เมื่อหลักความถูกต้องของจูเช่ผูกติดกับคำสัญญาในการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ดังนั้นแม้แต่โฆษณาชวนเชื่อก็ไม่อาจหลอกให้ประชาชนทนอดอยากได้อีกต่อไป และยังหมายความว่าเกาหลีเหนือภายใต้การปกครองของคิมจองอึนมีความเสี่ยงที่จะเกิดความไม่สงบจากการประท้วงต่อต้านรัฐบาล แม้กระทั่งความขัดแย้งกับที่ปรึกษาของเขาเองหากไม่สามารถปฏิบัติตามปรัชญาจูเช่แบบใหม่ของเขาได้ ดังนั้นคิมจองอึนจึงได้เริ่มก่อตั้งโครงการปฏิรูปเศรษฐกิจ โดยค่อยๆ ยกเลิกข้อจำกัดในการเป็นเจ้าของทรัพย์สินส่วนตัวและการลงทุนจากต่างประเทศ เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยไม่ต้องสละหลักแนวคิดการพึ่งพาตนเองและความเป็นเอกราชจากต่างชาติของจูเช่ไป
หากยังจำกันได้เมื่อ ปี 2018 คิมจองอึนได้เข้าพบกับ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายบยองจินเนื่องจากการพัฒนาเศรษฐกิจนั้นยิ่งมีความตึงเครียดทางการทหารกับสหรัฐมากเท่าไหร่ยิ่งพัฒนาเศรษฐกิจได้ยากขึ้นเท่านั้น และดูเหมือนว่าองค์กรต่างชาติและบริษัทท่องเที่ยวของต่างประเทศเองก็มีความเสี่ยงที่ลดลงในการทำธุรกิจร่วมกับเกาหลีเหนืออีกด้วย ภาพของทรัมป์จับมือกับคิมจองอึนและทำความเคารพนายพลเกาหลีเหนือถูกเผยแพร่ไปยังสื่อหลักของเกาหลีเหนือ พิสูจน์ได้ว่าคิมจองอึนกำลังปฏิบัติตามแนวคิดหลักของจูเช่ และคิดว่ากำลังอาวุธนิวเคลียร์ที่เขามีทำให้ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกามีความเท่าเทียมกับเขา เป็นไปตามความตั้งใจของคิมในการพัฒนาควบคู่ทั้งด้านเศรษฐกิจและการทหาร
เรื่องเหลือเชื่อที่เกาหลีเหนือกล่าวอ้าง
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่ารัฐบาลพยายามยกระดับของท่านผู้นำให้เป็นดั่งสมมติเทพเพื่อให้การปกครองมีความง่ายขึ้น เลยมีเรื่องแปลกๆ ที่เหลือเชื่อในสายตาของชาวต่าง แต่ชาวเกาหลีเหนือกลับเชื่อเช่นนั้นจริงๆ จะมีอะไรบ้าง ไปดูกัน
- คิมจองอิลเป็นผู้คิดค้นเมนูแฮมเบอร์เกอร์ โดยสื่อสิ่งพิมพ์ Minju Joson ของเกาหลีเหนือได้ให้เครดิตกับคิมจองอิลว่าเป็นผู้คิดค้นแฮมเบอร์เกอร์ขึ้น จากรายงานที่ว่าท่านผู้นำได้สร้างสรรค์แซนวิชรูปแบบใหม่มีขนมปังประกบคู่กับเนื้อและให้โภชนาการที่ครบถ้วนแก่ครูและนักเรียน ทำให้หลังจากนั้นได้เกิดโรงงานผลิตแฮมเบอร์เกอร์หลายแห่งในเกาหลีเหนือ
- เกาหลีเหนือในยุคการนำของคิมจองอึนได้คิดค้นยามหัศจรรย์ที่รักษาได้ทั้งโรคเอดส์ อีโบลา และมะเร็ง ว่ากันว่าการทดลองนี้เกิดขึ้นในแอฟริกา โดยผู้ร่วมการทดลองจำนวน 56 เปอร์เซ็นต์สามารถหายขาดจากโรค และอีก 44 เปอร์เซ็นต์มีอาการที่ดีขึ้นอย่างมาก
- ในชีวประวัติของคิมจองอิลกล่าวว่าเขาไม่เคยเข้าห้องน้ำ โดยอ้างว่าเขาไม่จำเป็นต้องปัสสาวะหรือถ่ายอุจจาระ และเขายังสามารถควบคุมสภาพอากาศได้ด้วย เพราะเขาเป็นพระเจ้าทำให้มีพลังเหนือธรรมชาติมาตั้งแต่กำเนิด เท่านั้นยังไม่พอแม้แต่ท่านผู้นำคิม อิล-ซ็อง พ่อของเขาเองก็ไม่เคยต้องเข้าห้องน้ำเหมือนกัน
- ในรายงานเมื่อปี ค.ศ. 2015 กล่าวว่าคิมจองอึนสามารถขับรถได้ตั้งแต่อายุ 3 ขวบ และเป็นผู้ชนะในการแข่งขันเรือยอทช์เมื่ออายุได้ 9 ขวบ นอกจากนี้ยังได้รับการยกย่องว่าเป็นศิลปินและนักประพันธ์เพลงที่ยอดเยี่ยมหาตัวจับยากอีกด้วย
- คิมจองอึนเคยปีนภูเขาไฟเพ็กตูความสูง 2,744 เมตรซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ เพื่อขึ้นไปถ่ายรูปกับทหารอีก 100 นายที่ยืนรออยู่บนยอดเขา แต่รายงานว่าขากลับคิมจองอิลได้ลงมาจากภูเขาด้วยลิฟต์
- ในปี ค.ศ. 2012 บรรดาผู้นำเกาหลีเหนือได้อ้างว่าพวกเขาพบแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ในตำนานอย่างยูนิคอร์นซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดเปียงยาง นักโบราณคดีจากสถาบัน Academy of Social Sciences ได้ยืนยันเรื่องนี้ด้วยตัวเองหลังจากพบคำว่า ‘ถ้ำยูนิคอร์น’ สลักอยู่บนก้อนหิน
- คิมจองอิลเป็นผู้นำแฟชั่นระดับโลก ในปี 2010 เว็บไซต์ข่าวของเกาหลีเหนือรายงานว่าท่านผู้นำคิมจองอิลเป็นไอคอนสไตล์และผู้นำแฟชั่น จากสไตล์การแต่งตัวด้วยสูทสีเทาของเขาได้สร้างความประทับใจให้กับผู้คนทั่วโลกจนเกิดการแต่งตัวเลียนแบบขึ้น
- ในปี 2016 เกาหลีเหนือได้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ที่ไม่ทำให้เกิดอาการเมาค้าง โดยหนังสือพิมพ์ Pyongyang Times ได้อธิบายว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ชนิดใหม่นี้ผลิตขึ้นจากส่วนผสมพิเศษที่ไม่ทำให้เกิดอาการปวดหัวหรือไม่สบายแต่อย่างใด
อ้างอิงบทความ
- Juche, the state ideology that makes North Koreans revere Kim Jong Un, explained
- What is Juche? – The Ideology of North Korea
- 11 Crazy Things North Korea Has Claimed That Will Make You Facepalm
อ่านต่อ
อ่านต่อเรื่อง เกาหลีเหนือ ฤาษีแห่งเอเชีย
อ่านบทความเกี่ยวกับการท่องเที่ยวอื่นๆต่อได้ที่ >>> https://www.patourlogy.com/blog/inspiration
สนใจทัวร์ส่วนตัว และโปรแกรมทัวร์เกาหลีเหนือ คลิ๊ก >>> https://www.patourlogy.com/tour/ทัวร์เกาหลีเหนือ