Flamsbana หรือ Flåmsbana ขบวนรถไฟที่จะนำท่านมุ่งสู่เมือง Flam เมืองที่ล้อมรอบด้วยหุบเขาอันเป็นที่ตั้งของฟยอร์ดมรดรดกโลก เส้นทางรถไฟที่จะพาท่านไปพบกับธรรมชาติอันน่าเหลือเชื่อของนอร์เวย์กับขบวนในฝันสุดโรแมนติกติดอันดับในยุโรปที่ใครมาก็ไม่ควรพลาด
เอกลักษณ์และความแตกต่างของ Flamsbana
Flåmsbana เป็นขบวนรถไฟสายหนึ่งในนอร์เวย์ซึ่งถูกจัดให้เป็นหนึ่งในรถไฟชมวิวทิวทัศน์ที่ดีและสวยที่สุดในโลกโดยสมาคมผู้โดยสารรถไฟระหว่างประเทศ (The Society of International Railway) รถไฟขบวนนี้แยกตัวมาจากรถไปสายหลัก Oslo-Bergen โดยจะเชื่อมระหว่าง Mydral ไปจนถึง Flåm ซึ่งเป็นเมืองกลางหุบเขาที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของนอร์เวย์ โดย Flåmsbana นั้นถูกสร้าขึ้นครั้งแรกในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ตัวรถไฟถูกออกแบบให้คงกลิ่นอายในอดีต ตัวรถไฟสีเขียวแก่ที่มีรูปทรงลักษณะคล้ายรถไฟฮอกวอร์ตที่หลายคนเคยเห็นในหนัง Harry Potter ภายในตกแต่งด้วยผนังไม้และเบาะที่นั่งสีแดงแกมส้มติดหน้าต่างบานใหญ่ที่พร้อมให้ทุกท่านได้ชมบรรยากาศและทิวทัศน์ตระการตาข้างทาง ปัจจุบันตั้งอยู่ระหว่าง Sognefjord และที่ราบสูง Hardangervidda อันโด่งดังซึ่งมีประวัติมาอย่างยาวนานไม่ต่างกับ Flåmsbana เลย
ต้นกำเนิดรถไฟเมืองฟลอม ความก้าวหน้าวิศวกรรม สานฝันชาวนอร์เวย์
ความคิดในการสร้างรถไฟเชื่อมระหว่างเมืองปลอมกับเมืองไมดรัลริเริ่มขึ้นในช่วงเริ่มต้นศตวรรษที่ 17 เพื่อให้การเดินทางติดต่อการค้าขายและขนส่งเป็นไปอย่างสะดวกมากขึ้น แบบแปลนการสร้างทางรถไฟสายนี้ได้ถูกส่งให้สภาพิจารณาครั้งแรกในปี ค.ศ. 1871 โดยแรกเริ่มตั้งใจให้เส้นทางรถไฟเส้นนี้เป็นเส้นที่แยกย่อยออกมาจากขบวนรถไฟ Bergen-Oslo-Stockholm ซึ่งในโครงการรถไฟสายรองนี้เองไม่ได้มีเพียงแต่แผน Flåmsbana เท่านั้น ทางกรมผังเมืองนอร์เวย์เองได้มีการสำรวจเส้นทางอื่นๆ รวมถึงการเดินรถแบบรางอื่นๆ อาทิ รถราง รถไฟล้อเฟืองที่ใช้วิ่งตามภูเขาสูงชัน รถไฟหัวรถจักรหรือแม้กระทั่งกระเช้าลอยฟ้าร่วมด้วย จนในที่สุด รัฐสภานอร์เวย์ก็ได้บรรจุแผนการสร้างทางรถไฟขบวนเมืองไมดรัล-ฟลอมก็ลงในแผนการสร้างการระบบขนส่งสารธารณะแบบรางของนอร์เวย์ในปีค.ศ. 1908 โดยคาดการณ์ว่าจะมีผู้โดยสารประมาณ 22,000 คนต่อปี
หลังจากแผนการสร้างขบวนรถไฟผ่านไปด้วยดี การก่อสร้างจึงเริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1924 ซึ่งถือว่าเป็นปีที่มีการก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับทางรถไฟสายนี้มากทีสุด อุโมงค์ 20 แห่งถูกสร้างขึ้นจากแรงงานมีฝีมือมากมายและเป็นที่โด่งดังมากว่า 18 แห่งนั้นใช้แรงงานคนทั้งหมดโดยปราศจากเครื่องจักรทุ่นแรง ซึ่งในสมัยศตวรรษที่ 17 นั้นถือว่าเป็นยุคซึ่งมีการปฏิวัติอุตสาหกรรมแล้ว มีเครื่องทุ่นแรงที่สามารถใช้ในการก่อสร้างได้ไม่มากก็น้อย (แต่อาจจะติดปัญหาเรื่องการขนย้ายอุปกรณ์จึงจำเป็นตองใช้แรงงานคน) การใช้แรงงานคนขุดอุโมงค์จึงถือเป็นวิธีที่ต้องใช้ความละเอียดและใช้คนจำนวนมาก ตลอดการก่อสร้างอุโมงค์ทั้งหมดตั้งแต่เมืองไมดรัลจนถึงเมืองฟลอมมีความยาวรวมกว่า 5,692 เมตรและใช้แรงงานไปกว่า 120 -200 คนในแต่ละวัน
ก่อนและขณะที่มีการก่อสร้างเส้นทางรถไฟเส้นนี้และเส้นอื่นๆ นั้น ผู้คนที่ต้องการสัญจรจากเมืองต่างๆ ด้วยม้าและเกวียนในการขนของหรือบรรทุกคนซึ่งกินเวลานานทั้งวัน บางวันในช่วงฤดูร้อนแม้แต่ในอดีตก็ยังมีเกวียนนักท่องเที่ยวมากถึง 30 – 40 เกวียนที่เดินทางมาเยี่ยมชมฟยอร์ดในเมืองฟลอม ดังนั้นเพื่อให้แน่ใจว่าประชาชนและนักท่องเที่ยวจะสามารถเดินทางไปเที่ยวชมฟยอร์ดอันเป็นหนึ่งในปรากฎการณ์ธรรมชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศได้ การก่อสร้างขนส่งสาธารณะแบบรางจึงเริ่มจากเส้นทางรถไฟเมืองฟลอมแห่งนี้
การแทรกแซงจากเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ในปีค.ศ. 1940 การก่อสร้างได้ดำเนินการไปตามแผนพัฒนาเมืองดังคาดและคาดว่ารถไฟขบวนนี้จะสามารถเปิดให้บริการได้ในปีค.ศ. 1942 แต่ยังไม่ทันได้สำเร็จตามแผนนอร์เวย์ก็ถูกกองทัพเยอรมนีแทรกแซงในเดือนเมษายน ค.ศ. 1940 ทำให้ยังเหลือรางรถไฟที่ยังไม่ได้นำไปประกอบรวมเป็นระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร แต่ในความโชคร้ายยังมีความโชคดีที่ผู้นำเยอรมนีต้องการให้มีการดำเนินการก่อสร้างต่อไป จนในที่สุดช่วงต้นเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1940 รางรถไฟทั้งหมดก็ประกอบเสร็จสิ้นเหลือเพียงตัวรถไฟที่ต้องดำเนินการต่อจากนี้ ในปีเดียวกันนั้นเองได้มีการดำเนินการก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง รถไฟบรรทุกสินค้าถูกประกอบขึ้นจากหัวรถจักรพลังไอน้ำ เพลาขับ 8 เพลาและเบรกมือทุกตู้โดยสาร ทดสอบแล้วใช้เวลาในการลงเขา 65 นาทีและเคลื่อนขึ้นเขา 60 นาทีโดยระหว่างทางรถไฟจะจอดที่สถานี Berekvam ซึ่งเป็นสถานีที่มีเสาส่งสัญญาณขนาดใหญ่ซึ่งอำนวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสารระยะไกลในขณะนั้นเป็นอย่างมาก ในช่วงระยะนี้เอง Flåmsbana จะถูกใช้ไปในทางทหารเป็นส่วนใหญ่
กำเนิด Flåmsbana
หลังจากได้มีการติดตั้งเอจิ้นเบรกใน 3 หัวรถจักรเพิ่มเติมจนมั่นใจว่ารถไฟขบวนนี้สามารถเดินทางเลาะทิวเขาต่างๆได้อย่างปลอดภัย กระทรวงคมนาคมได้ตั้งชื่อรถไฟขบวนนี้ว่า Flåmsbana และเปิดรับผู้โดยสารเที่ยวแรกในปี ค.ศ. 1941 รวมระยะเวลาตั้งแต่เริ่มโครงการกินเวลาไปถึง 20 ปีเลยทีเดียว
ในขณะเดียวกันสงครามระหว่างประเทศในยุโรปเหนือก็ยังไม่สิ้นสุด กองทัพเยอรมนีได้พยายามดัดแปลงหัวรถจักร Flåmsbana อย่างต่อเนื่องเพื่อให้เอื้อประโยชน์ต่อการการสร้างแหล่งผลิตพลังงานแห่งใหม่ที่ตั้งอยู่บริเวณน้ำตก Kjosfossen ในปี ค.ศ. 1944 ชาวเยอรมันผู้รับผิดชอบในการดัดแปลงหัวรถจักร Flåmsbanaได้ประสบเหตุระเบิดโดยขบวนการต่อต้านลัทธิอาณานิคมของชาวนอร์เวย์ในออสโลจนเสียชีวิต ส่งผลให้ทำให้การดัดแปลงหัวรถจักรจากหัวรถจักรไอน้ำเป็นหัวรถจักรไฟฟ้าครั้งนี้ล่าช้ากว่าแผนการที่ทางเยอรมนีวางไว้
การพัฒนาและเติบโตไปข้างหน้าของ Flåmsbana
ในปี ค.ศ. 1947 หัวรถจักรอัตโนมัติ El 9 ได้เดินทางมาถึงนอร์เวย์และนั่นถือเป็นจุดสิ้นสุดของยุคหัวรถจกัรไอน้ำที่เคยรุ่งเรืองในศตวรรษที่ 17 หลังจากเปลี่ยนหัวรถจักรแล้ว ในปีต่อๆ มา ได้มีนักท่องเที่ยวได้เข้ามาใช้บริการรถไฟขบวนนี้มากขึ้นจนในปี ค.ศ. 1953 มีนักท่องเที่ยวมาใช้บริการมากถึง 115,000 คนต่อปี! ซึ่งในปีนั้นเองได้มีการพูดถึงรถไฟขบวนนี้เป็นวงกว้างด้วยความสวยงามของวิวทิวทัศน์โดยรอบประกอบกับความคลาสสิคภายในตู้รถไฟเอง หากแต่ยังคงมีการถกเถียงมาเรื่อยๆ ว่า Flåmsbana ควรปิดบริการลงเนื่องจากความล้าหลังของทางรถไฟและตัวรถไฟซึ่งอาจจะก่อให้เกิดเหตุอันตรายเองหรือไม่ แต่สุดท้ายเพื่อให้ Flåmsbana สามารถรับผู้โดยสารต่อไปได้จึงได้มีการปรับปรุงและปรับเปลี่ยนหัวรถจักรถึง 2 ครั้งในปี 1982-1998
โดยปัจจุบันรถไฟที่ให้บริการของขบวน Flåmsbana นั้นประกอบไปด้วยหัวรถจักร EI 17 6 หัว ที่ต่อด้วยตู้โดยสารรวมทั้งหมด 12 ตู้ โดยทุกตู้โดยสารที่ใช้บรรทุกผู้โดยสารนั้นจะตกแต่งด้วยการตกแต่งแบบคลาสสิคคงกลิ้นอายรถไฟสมัยศตวรรษที่ 17 ไว้เพื่อแสดงถึงประวัติศาสตร์วิศวกรรมการสร้างรถไฟอันยาวนานของนอร์เวย์
การเดินทางจากเมืองฟลอมไปไมดรัล
จากเมืองไมดรัล (Mydral) ไปจนถึงเมืองฟลอม (Flåm) คิดเป็นระยะทาง 20 กิโลเมตรโดยรถไฟจะออกจากสถานีเมืองไมดรัลซึ่งตั้งอยู่บนภูเขาสูงเหนือระดับน้ำทะเลถึง 867 เมตร มุ่งหน้าลงสู่เมืองฟลอมซึ่งตั้งอยู่บนพื้นราบใกล้ฟยอร์ดอันเลื่องชื่อของนอร์เวย์ ใน 20 กิโลเมตรนี้เองสำหรับรถไฟธรรมดาหรือรถไฟความเร็วสูงอาจจะใช้เวลาประมาณ 20 – 30 นาที แต่รถไฟขบวนนี้ใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมง โดยใช้ความเร็วเพียง 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเพื่อนำนักท่องเที่ยวทุกคนไปยังเมืองจุดหมายปลายทาง บางคนอาจจะบอกว่าตัวเองยังขับรถเร็วกว่ารถไฟขบวนนี้เสียอีก นั่นก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องหากแต่จุดหมายหลักของรถไฟขบวนนี้ไม่ใช่การไปถึงจุดหมายเร็วที่สุด แต่เป็นการเพลิดเพลินไปกับวิวทิวทัศน์และภูมิประเทศตลอดข้างทางขณะที่รถไฟขบวนนี้พาท่านไปถึงยังจุดหมาย
Flåmsbana จอดทั้งหมด 9 สถานีโดยจะเริ่มตั้งแต่สถานีไมดรัล ซึ่งเป็นที่ตั้งของศูนย์รวมรถไฟสายหลักออสโล – เบอร์เกน โดยท่านใดที่ต้องการเดินทางไปเมืองฟลอมสามารถเดินทางมาจากออสโลและเปลี่ยนสายรถไฟได้ที่สถานีแห่งนี้ สถานีไมดรัลเป็นสถานีรถไฟเล็กๆ ที่ตั้งอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 876 เมตรและล้อมรอบไปด้วยวิวเขาใหญ่และธรรมชาติมากมายสไตล์นอร์เวย์ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเพลิดเพลินไปกับธรรมชาติรอบข้างก่อนจะขึ้นรถไฟไปฟลอมได้อย่างอิ่มเอมใจ เมื่อเข้าไปภายในสถานีท่านจะเห็นตู้รถไฟสีเขียวสไตล์คลาสสิคจอดรออยู่ที่ชานชลาซึ่งจะเป็นพาหนะนำท่านไปเมืองฟลอม ระหว่างทางขบวนรถไฟจะแล่นผ่านสถานที่ต่างๆ ลัดเลาะผาหินสูงชันเพื่อชมวิวทิวทัศน์และธรรมชาติอันสวยงามของนอร์เวย์ ไม่ว่าจะเป็นภูเขาใหญ่ หุบเขาลึกสลับทุ่งหญ้าตลอดสองข้างทาง ทางขวาของตัวรถไฟยังสามารถมองเห็นแม่น้ำ Flamselvi แม่น้ำสายหลักขนาบข้างทางรถไฟไปจนสิ้นสุดการเดินทาง
บางจุดหากมองออกไปนอกหน้าต่างก็จะเห็นหมู่บ้านของชาวพื้นเมืองนอร์เวย์ซึ่งบ้านชาวพื้นเมืองนี้เองจะมีลักษณะเป็นบ้านไม้สีแดงและเหลืองหลังเล็กทว่าแข็งแรงเรียงรายกันอยู่ตามเขาและผาที่รถไฟวิ่งผ่าน ถ้ามองเข้าไปดีๆ จะเห็นปศุสัตว์ต่างๆ อย่างโคนมกับแพะที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้อีกด้วย บ้านเรือนชาวพื้นเมืองนี้เองจะเห็นชัดเจนทีสุดในฤดูหนาวเนื่องจากสีแดงและเหลืองของบ้านจะตัดกับหิมะสีขาวซึ่งปกคลุมบริเวณโดยรอบซึ่งสร้างสีสันให้กับหน้าหนาวได้ไม่ใช่น้อย
Flåmsbana นั้นมุ่งหน้าลงเขาลัดเลาะตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งสถานีที่โด่งดังและเป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยวมากที่สุดหนึ่งสถานีนั่นก็คือ สถานี Kjosfossen เป็นที่ตั้งของน้ำตก Kjosfossen โดยน้ำตกแห่งนี้มีความสูงถึง 90 เมตรและเป็นที่ที่ถูกกล่าวถึงอย่างแพร่หลายในตำนานพื้นบ้านของชาวแสกนดิเนเวีย ตามตำนานกล่าวไว้ว่าน้ำตก Kjosfossen แห่งนี้เป็นที่อาศัยของสิ่งศักสิทธิ์นามว่า Huldra ไซเรนสาวสวยที่มักจะใช้การร้องเพลงของเธอล่อหลอกผู้ชายเข้ามาในป่าให้ติดกับของเธอ เพื่อเล่าขานตำนานพื้นบ้าน Huldra สืบต่อไปจึงมีการจัดการแสดงการเต้นรำพื้นเมืองของหญิงสาวบนโขดหินใหญ่บริเวณน้ำตก Kjosfossen ขึ้นซึ่งแน่นอนว่าเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวมากทีเดียว
หลังจากชมการแสดงที่น้ำตกจนพอใจก็ถึงเวลากลับขึ้นรถไฟเดินทางต่อ โดยต่อจากนี้รถไฟขบวนนี้จะพาท่านลอดผ่านอุโมงค์แห่งหนึ่งซึ่งหลังอุโมงค์นี้นี้จะเป็นวิวของหุบเขาใหญ่คดเคี้ยวชื่อว่า Rallarvegen หรือ The Navvies road ซึ่งในอดีตเป็นถนนที่สร้างมาเพื่ออำนวยความสะดวกในการขนย้ายวัสดุก่อสร้างต่างๆ ขึ้นมาบนเขา หุบเขาแห่งนี้ไม่เพียงแค่สูงชันเท่านั้นแต่ยังมีลักษณะคดเคี้ยวซึ่งประกอบไปด้วยโค้งหักศอกถึง 21 โค้ง ปัจจุบันเป็นเส้นทางของเหล่านักปั่นจักรยานที่นิยมมาปั่นขึ้นเขาออกกำลังกายในวันหยุด นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ฝึกซ้อมของเหล่านักปั่นอาชีพหรือนักกีฬาทีมชาติอีกหลายคน
ผ่านไปกว่าครึ่งทางยิ่งใกล้ถึงจุดหมายเท่าไหร่ ก็จะเห็นแนวทิวเขาแยกออกเป็นพื้นที่โล่งกว้างมากขึ้น ก่อนรถไฟขบวนนี้จะเดินทางไปจอดยังเมืองฟลอมในปัจจุบัน มองออกไปนอกหน้าต่างจะพบกับหมู่บ้านเล็กๆ ซึ่งผู้คนอาศัยอยู่ไม่มาก หมู่บ้านแห่งนี้เองเคยเป็นที่ตั้งของเมืองฟลอมในอดีตก่อนที่จะย้ายจุดศูนย์กลางลงไปอยู่ระดับน้ำทะเล ภายในหมู่บ้านยังสามารถเห็นแม่น้ำสายหลักที่ไหลตัดผ่านหมู่บ้านเรือนของชาวนอร์เวย์ที่ตั้งอยู่ริมสองฝั่งแม่น้ำได้อีกด้วย
ในท้ายที่สุด Flåmsbana ก็จะพาทุกท่านเดินทางมาถึงสถานีสุดท้ายซึ่งก็คือ สถานีฟลอม(Flåm) โดยสถานแห่งนี้เป็นที่ตั้งของเมืองฟลอมในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของ Sognefjord ราชาแห่งฟยอร์ดซึ่งถูกบรรจุให้เป็นมรดกโลกและเป็นเป็นฟยอร์ดที่ใหญ่ที่สุดในนอร์เวย์อีกด้วย จุดนี้เองถือเป็นจุดมุ่งหมายและจุดสิ้นสุดของการเดินทางบนรถไฟสายนี้
การเดินทางโดยรถไฟนั้นถือเป็นเอกลักษณ์การเดินทางที่สำคัญในยุโรป ผู้คนยังนิยมการเดินทางไปเที่ยวหรือชมเมืองต่างๆ โดยรถไฟเพราะมีความสะดวกสบายและยังช่วยประหยัดเวลาในการเดินทาง เพราะฉะนั้นหากได้ไปเที่ยวยุโรปหรือนอร์เวย์ทั้งทีการได้ลองนั่งรถไฟอันเป็นเอกลักษณ์ของประเทศนั้นๆ คงเป็นโอกาสที่ดีและเปิดประสบการณ์ไม่ใช่น้อย ในนอร์เวย์เองก็ยังมีเส้นทางรถไฟอีกมากที่พร้อมจะพาทุกคนไปสำรวจและเที่ยวชมไม่ว่าจะสายธรรมชาติเน้นบรรยากาศโรแมนติกหรือสายชมเมืองก็มีให้เลือกสรร หากมีโอกาสไม่ควรพลาดที่จะไปสัมผัสบรรยากาศการนั่งรถไฟสายโรแมนติกเส้นนี้
References
อ่านบทความเกี่ยวกับการท่องเที่ยวอื่นๆต่อได้ที่ >>> https://www.patourlogy.com/blog/inspiration
สนใจทัวร์ส่วนตัว และโปรแกรมทัวร์ คลิ๊ก >>> https://www.patourlogy.com/ทริปทัวร์เดินทาง