บรรยายโดย : หมอโจ้ นพ.อรรควิชญ์ หาญนวโชค
เรียบเรียงโดย : กัญญ์กุลณัช ภัทรศรีพงศ์
ช่วงนี้เรื่อง วัคซีนโควิด กำลังเป็นที่พูดถึงกันมากตอนนี้ ผมเลยขอโอกาสเล่าเรื่องวัคซีนชนิดๆอื่นๆที่เราควรรู้ไว้ก่อนออกเดินทาง หลังจากนี้ไป เรื่องราวที่เกี่ยวกับวัคซีนจะเป็นที่พูดกันอีกเยอะแน่นอน โดยสรุปของคลิปนี้คือ
- 01:00 วัคซีนที่บังคับฉีดโดยองค์กรอนามัยโลก (WHO) คือวัคซีนป้องกันไข้เหลือง (Yellow Fever)
- 01:34 วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อที่ติดทางอาหารได้เช่น ไทฟอยด์ อหิวาต์ ตับอักเสบเอ
- 07:00 วัคซีนที่ป้องกันโรคติดต่อจากการสัมผัสสารคัดหลั่ง เช่น ตับอักเสบบี
- 08:50 วัคซีนที่เกี่ยวกับการหลังถูกสัตว์กัด เช่น พิษสุนัขบ้า (Rabies) บาดทะยัก (Tetanus)
- 12:20 วัคซีนที่ป้องกันโรคติดต่อจากยุงเช่น ไข้สมองอักเสบเจอี (JE)
- 15:00 วัคซีนอื่นๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่ คอตีบ หัดเยอรมัน ดูเพิ่มเติม เกี่ยวกับวัคซีนไข้เหลืองในการเตรียมตัวไปเที่ยวทวีปแอฟริกา https://youtu.be/-EpGmsH0a5I
วัคซีนที่ควรฉีดก่อนการเดินทางเที่ยวต่างประเทศ
วัคซีนที่นักเดินทางควรพิจารณา วัคซีนแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ
1.วัคซีนที่บังคับให้ฉีดตามกฎหมาย ปัจจุบันมีเพียงตัวเดียว คือ วัคซีนไข้เหลือง (Yellow Fever) โดยภูมิหลังจากฉีดวัคซีนจะสามารถอยู่ ได้เกือบตลอดชีวิต สำหรับผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปีเป็นต้นไป แพทย์มักจะไม่ฉีดวัคซีนไข้เหลืองให้กลุ่มคนเหล่านี้เนื่องจากภูมิคุ้มกันของโรคค่อนข้างต่ำ สามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับวัคซีนไข้เหลืองเพิ่มเติมได้ที่
2.วัคซีนที่แพทย์แนะนำให้ฉีดก่อนการเดินทาง
โดยวัคซีนในกลุ่มนี้จะสามารถแบ่งออกได้หลายประเภท ด้วยกัน ดังนี้
- วัคซีนที่เกี่ยวกับการรับประทานอาหารหรือน้ำดื่มที่ไม่สะอาด เช่น
- วัคซีนไทฟอยด์ (Typhoid) สำหรับผู้ที่เดินทางไปประเทศในกลุ่มของทวีปเอเชียใต้ เช่น อินเดีย เนปาล บังกลาเทศ ปากีสถาน ปัจจุบันมีทั้งแบบฉีดและแบบเม็ด แบบฉีดจะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ภูมิต้านทานก็จะขึ้น ภูมิต้านทานดังกล่าวจะอยู่ได้ประมาณ 2-3 ปี
- วัคซีนตับอักเสบเอ (Hepatitis A) สามารถติดได้ทางอาหารที่ไม่สะอาดโดยเริ่มจากผู้ที่มีเชื้อตับอักเสบเอเป็นตัวการที่ทำให้อาหารหรือน้ำนั้นปนเปื้อน โดยฉีด 2 เข็ม ระยะห่างระหว่างวัคซีน 2 เข็มคือระหว่าง 6-12 เดือน
- วัคซีนอหิวาตกโรค (Cholera) วัคซีนชนิดนี้ปัจจุบันเป็นรูปแบบกิน 2 ครั้งห่างกัน 1-6 สัปดาห์
- วัคซีนโปลิโอ (Polio) ปัจจุบันระบาดอยู่เพียงไม่กี่ประเทศเช่น อัฟกานิสถาน ไนจีเรีย ปากีสถาน มีทั้งแบบฉีดเข้ากล้ามเนื้อและหยอดปาก ซึ่งควรฉีดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนการเดินทาง
- การติดเชื้อจากสารคัดหลั่ง ไม่ว่าจะเป็นทางลมหายใจ ทางน้ำลาย ทางเลือด หรือทางเพศสัมพันธ์
- วัคซีนตับอักเสบบี (Hepatitis B) ซึ่งสามารถลุกลามเป็นมะเร็งตับได้ ฉีด 3 เข็ม
- วัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า (Rabies) ติดเชื้อจากการถูกสัตว์กัด วัคซีนตัวนี้แนะนำเป็นอย่างยิ่งให้ฉีดก่อนการเดินทาง เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้มีราคาสูงในต่างประเทศ อีกทั้งสามารถหาได้ยากในประเทศหรือพื้นที่ธุรกันดาร โดยจะทำการฉีด 3 เข็ม ก่อนการสัมผัสเชื้อ จากนั้นจึงฉีดวัคซีนกระตุ้นเพิ่มเติมเท่านั้นเอง เนื่องจาก ตัวยาฆ่าเชื้อหรืออิมมูโนโกบูลินซึ่งเป็นยาที่ต้องฉีดพร้อมกับวัคซีนพิษสุนัขบ้านั่นหายากในบางประเทศ
- วัคซีนป้องกันเชื้อไข้กาฬหลังแอ่น (Meningococcal) สาเหตุของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โดยจะติดมากับละอองฝอยจากน้ำลายหรือลมหายใจ ซึ่งจะแนะนำให้สำหรับผู้ที่จะเดินทางประเทศหรือพื้นที่ระบาดของโรค ผู้ที่ไปแสวงบุญที่นครเมกะ รวมทั้งนักเรียนที่ไปเรียนต่อในอเมริกาหรือยุโรป
- วัคซีนไข้สมองอักเสบ JE (Japanese Encephalitis) เป็นเชื้อไวรัสที่ติดกับมายุงบ้าน คนไทยมักจะมีภูมิต้านทานแล้วเนื่องจากวัคซีนป้องกันไข้สมองอักเสบเจอี อยู่ในโครงการของรัฐบาลที่ฉีดให้เด็กไทยทุกคน แต่ถ้าเป็นชาวต่างชาติถ้าเป็นชาติตะวันตก มักจะไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน
- วัคซีนไข้หวัดใหญ่ (Influenza) เหมาะสำหรับผู้ที่เดินทางไปในพื้นที่ที่แออัด เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และบุคลากรทางการแพทย์
- วัคซีนคอตีบ (Diptheria) คนไทยส่วนใหญ่เคยได้รับวัคซีนนี้มาแล้ว เมื่อเราโตขึ้นอาจจะมีการภูมิคุ้มกันลดลง หรืออาจมีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อจากนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังประเทศไทย ดังนั้นจึงควรไปฉีดกระตุ้นเพื่อป้องกันโรคดังกล่าว ซึ่งมักจะเป็นวัคซีนที่ผสมมากับ วัคซีนบาดทะยัก หรือวัคซีนไอกรนร่วมด้วย
- วัคซีนหัด หัดเยอรมัน คางทูม (Mump-Measle-Rubella) ตัวย่อ คือ MMR ฉีดเพียง 1-2 เข็มก็สามารถมีภูมิขึ้นได้เกือบ 100%
กลุ่มที่ควรให้ความสำคัญในการฉีดวัคซีน
เนื่องจากกลุ่มบางกลุ่มมีข้อจำกัด ข้อคำนึง หรือข้อควรระวังที่ควรพิจารณาประกอบการตัดสินใจก่อนการได้รับวัคซีน อันได้แก่
- กลุ่มเด็กเล็ก
- กลุ่มนักเดินทางแบบ Backpacker
- กลุ่มผู้สูงอายุ
- กลุ่มผู้หญิงตั้งครรภ์
- กลุ่มที่มีโรคประจำตัว
***การป้องกันโรคก่อนการเดินทางที่ดีที่สุด คือ “การฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรค” ระยะเวลาที่ดีในการไปตรวจสุขภาพหรือวางแผนเกี่ยวกับสุขภาพอย่างน้อย 2สัปดาห์ – 2 เดือน ขึ้นกับชนิดของวัคซีน