วันคริสต์มาส เป็นวันที่หลายคนรอคอยด้วยความตื่นเต้น เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น ความสุข และการแบ่งปันระหว่างครอบครัวและเพื่อนฝูง อย่างไรก็ตาม ในวันแห่งความสุขนี้ยังมีตำนานและความเชื่อที่น่าสนใจซ่อนอยู่มากมาย ซึ่งบางส่วนเป็นเรื่องเล่าเก่าแก่ที่ถูกส่งต่อกันมาหลายศตวรรษ และยังคงสร้างความหลงใหลในจิตใจของผู้คนทั่วโลก ในบทความนี้เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับ 5 ตำนาน วันคริสต์มาส และ ความเชื่อที่ซ่อนอยู่ในวันแห่งความสุขนี้
1. ตำนาน วันคริสต์มาส ซานตาคลอส นักบุญผู้ให้ที่มีอยู่จริง
ตำนานของซานตาคลอสเริ่มต้นจากนักบุญนิโคลัสแห่งไมรา (Saint Nicholas of Myra) ซึ่งเป็นนักบุญชาวตุรกีในศตวรรษที่ 4 เขาเป็นบิชอปที่มีชื่อเสียงในด้านความใจบุญและความเมตตาต่อเด็กๆ และคนยากจน หนึ่งในเรื่องราวที่เล่าขานกันมากที่สุดเกี่ยวกับนักบุญนิโคลัสคือการช่วยเหลือครอบครัวที่ยากจน โดยเขาได้แอบนำทองคำใส่ถุงเท้าของเด็กสาวสามคน เพื่อช่วยพวกเธอหลีกเลี่ยงการถูกขายเป็นทาส การกระทำของเขาถูกบันทึกและเผยแพร่ในฐานะตัวอย่างของความมีน้ำใจ ซึ่งเป็นที่มาของธรรมเนียมการใส่ของขวัญในถุงเท้าวันคริสต์มาส
เมื่อเวลาผ่านไป ตำนานของนักบุญนิโคลัสก็ได้รับการดัดแปลงและผสมผสานกับความเชื่อพื้นเมืองในยุโรป จนกระทั่งกลายมาเป็นซานตาคลอสในศตวรรษที่ 19 ภาพลักษณ์ของซานตาคลอสในชุดสีแดงและขาวที่เราคุ้นเคยในปัจจุบันนั้นถูกเผยแพร่ในยุคสมัยใหม่ โดยส่วนใหญ่มีการออกแบบจากผลงานของโธมัส นาสต์ (Thomas Nast) และภาพวาดของซานต้าก็ได้รับความนิยมมากขึ้นจากการโฆษณาของโคคา-โคลาในปี ค.ศ. 1930 ทำให้ซานต้ากลายเป็นสัญลักษณ์ของการให้ในวันคริสต์มาสที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก
นอกจากนี้ ซานตาคลอสยังมีภาพลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับความมหัศจรรย์ โดยมีเรื่องราวว่าซานต้าจะนั่งรถเลื่อนที่ลากด้วยกวางเรนเดียร์บินข้ามฟ้า เพื่อมอบของขวัญให้กับเด็กดีทั่วโลกในคืนก่อนวันคริสต์มาส การปรากฏตัวของซานต้าในวัฒนธรรมสมัยใหม่จึงไม่ใช่เพียงแค่เรื่องราวของความเมตตา แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความสุขและความมหัศจรรย์ที่ทำให้วันคริสต์มาสเป็นวันพิเศษสำหรับเด็กๆ ทุกคน
2. ตำนาน วันคริสต์มาส ต้นคริสต์มาส สัญลักษณ์แห่งชีวิตนิรันดร์
ต้นคริสต์มาสเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์สำคัญของวันคริสต์มาสที่มีความหมายลึกซึ้งมากกว่าการเป็นเพียงแค่ของตกแต่ง เรื่องราวเกี่ยวกับต้นคริสต์มาสมีที่มาจากหลายแหล่งในวัฒนธรรมโบราณ โดยต้นไม้สีเขียวที่ยังคงมีชีวิตอยู่ในช่วงฤดูหนาวได้ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของการฟื้นคืนชีพและความหวังที่ไม่มีที่สิ้นสุด ในช่วงเวลาก่อนที่คริสต์ศาสนาจะเข้ามาในยุโรป ชาวดรูอิด (Druids) ในอังกฤษโบราณและชาวโรมันได้ใช้ต้นไม้ชนิดนี้ในการเฉลิมฉลองช่วงเวลาที่วันยาวที่สุดของฤดูหนาวกำลังจะผ่านไป และฤดูใบไม้ผลิกำลังจะกลับมา
ต้นคริสต์มาสในรูปแบบที่เราคุ้นเคยกันในปัจจุบันนั้นเริ่มปรากฏในเยอรมนีในศตวรรษที่ 16 โดยต้นไม้ถูกนำมาใช้ในงานเฉลิมฉลองภายในครอบครัว การตกแต่งต้นไม้ด้วยเทียนและของประดับต่างๆ เป็นวิธีที่ครอบครัวชาวเยอรมันใช้ในการสร้างบรรยากาศแห่งความอบอุ่นและแสงสว่างในช่วงฤดูหนาว ตำนานเล่าว่ามาร์ติน ลูเธอร์ (Martin Luther) นักปฏิรูปศาสนาชาวเยอรมันเป็นคนแรกที่นำต้นไม้ที่ประดับด้วยเทียนมาใช้ในงานคริสต์มาส โดยได้รับแรงบันดาลใจจากแสงดาวที่ส่องลงมาตามกิ่งไม้ในคืนฤดูหนาว
ต้นคริสต์มาสได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมในหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะในช่วงศตวรรษที่ 19 เมื่อต้นคริสต์มาสถูกนำเข้ามาในอังกฤษโดยเจ้าชายอัลเบิร์ต (Prince Albert) ชายาของสมเด็จพระราชินีวิกตอเรีย การใช้ต้นคริสต์มาสในพระราชวังทำให้ธรรมเนียมการประดับต้นไม้ในวันคริสต์มาสกลายเป็นที่นิยมในหมู่ประชาชนอังกฤษและแพร่ขยายไปยังประเทศอื่นๆ ในยุโรปและอเมริกา
3. ตำนานมนุษย์หิมะ หุ่นหิมะที่มาพร้อมความโชคดี
มนุษย์หิมะ หรือ Snowman เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่หลายคนคุ้นเคยกับวันคริสต์มาส โดยเฉพาะในประเทศที่มีหิมะตก มนุษย์หิมะเป็นหุ่นที่เด็กๆ และครอบครัวสร้างขึ้นในฤดูหนาว และมักตกแต่งด้วยหมวก ผ้าพันคอ และอาจใช้แครอทเป็นจมูก ตำนานเกี่ยวกับมนุษย์หิมะไม่ได้เป็นเพียงกิจกรรมที่สนุกสนาน แต่ในวัฒนธรรมบางแห่งยังเชื่อว่ามนุษย์หิมะเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดีและความสุข
ในยุคกลางของยุโรป มนุษย์หิมะถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของความหวังในช่วงฤดูหนาวที่ยากลำบาก ชาวบ้านมักจะสร้างมนุษย์หิมะขึ้นมาเพื่อสวดมนต์ขอให้ผ่านพ้นฤดูหนาวไปได้อย่างปลอดภัย และมีความเชื่อว่ามนุษย์หิมะสามารถปกป้องบ้านจากความโชคร้ายได้ ในบางพื้นที่ของเยอรมนี มีตำนานเล่าว่ามนุษย์หิมะสามารถมีชีวิตได้ในคืนวันคริสต์มาส และนำความโชคดีมาสู่ครอบครัวที่สร้างเขาขึ้นมา
แม้จะมีความเชื่อมากมายเกี่ยวกับมนุษย์หิมะ แต่ปัจจุบันมนุษย์หิมะได้กลายเป็นตัวแทนของความสุข ความสนุก และความร่วมมือของครอบครัวในช่วงวันหยุด ทำให้มนุษย์หิมะกลายเป็นสัญลักษณ์ของความอบอุ่นในฤดูหนาว และยังคงเป็นส่วนหนึ่งของประเพณีคริสต์มาสที่สืบทอดต่อกันมาหลายรุ่น
4. ตำนานเอลฟ์ ผู้ช่วยตัวน้อยของซานตาคลอส
เอลฟ์ หรือ “Elves” ในตำนานของวันคริสต์มาส มีบทบาทสำคัญในฐานะผู้ช่วยตัวน้อยของซานตาคลอส พวกเขาทำงานอยู่ในโรงงานที่ขั้วโลกเหนือ ช่วยผลิตของเล่นและของขวัญให้กับเด็กๆ ทั่วโลก เอลฟ์มีรูปร่างเล็ก มีหูแหลม และแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีสดใส โดยมีหน้าที่คอยดูแลซานตาคลอสและช่วยในการส่งของขวัญให้เด็กๆ ในคืนวันคริสต์มาส
ตำนานของเอลฟ์มาจากความเชื่อพื้นเมืองของชาวยุโรปเหนือ โดยเฉพาะในแถบสแกนดิเนเวียและเยอรมนี ในอดีต เอลฟ์ถูกมองว่าเป็นวิญญาณหรือสิ่งมีชีวิตที่มีพลังพิเศษ พวกเขาเป็นทั้งผู้พิทักษ์และผู้ที่สามารถนำโชคร้ายมาสู่ผู้คนได้ ในบางตำนาน เอลฟ์ถูกอธิบายว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในป่าและดูแลธรรมชาติ แต่เมื่อถึงช่วงวันคริสต์มาส พวกเขามีบทบาทใหม่ในการเป็นผู้ช่วยซานตาคลอส ทำให้เอลฟ์กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความสุขและการให้
ความเชื่อเกี่ยวกับเอลฟ์ในช่วงคริสต์มาสนั้นแพร่หลายมากขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19 โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อมีการเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับซานตาคลอสและผู้ช่วยของเขา เช่น ในบทกวีชื่อดัง “A Visit from St. Nicholas” หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “The Night Before Christmas” ที่ถูกเขียนขึ้นในปี ค.ศ. 1823 บทกวีนี้ทำให้เอลฟ์กลายเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองวันคริสต์มาส และภาพลักษณ์ของเอลฟ์ก็กลายเป็นที่รู้จักในวัฒนธรรมป๊อปทั่วโลก
ปัจจุบัน เอลฟ์ไม่ได้เพียงแค่ช่วยสร้างของขวัญในโรงงานของซานตาคลอสเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความสนุกและความตื่นเต้นสำหรับเด็กๆ ในเทศกาลคริสต์มาส หลายครอบครัวนำ “เอลฟ์บนหิ้ง” หรือ “Elf on the Shelf” มาใช้เป็นส่วนหนึ่งของประเพณีวันคริสต์มาส เพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความสนุกสนานและการเตรียมตัวต้อนรับซานตาคลอส
5. ตำนานแม่มดคริสต์มาส Befana ผู้มอบของขวัญให้เด็กๆ ในอิตาลี
ในขณะที่หลายประเทศเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสด้วยการรับของขวัญจากซานตาคลอสหรือบุคคลในตำนานอื่นๆ ประเทศอิตาลีมีตำนานที่ไม่เหมือนใครเกี่ยวกับแม่มดคริสต์มาสที่ชื่อว่า “เบฟาน่า” (Befana) ที่เป็นผู้มอบของขวัญให้กับเด็กๆ ในคืนวัน Epiphany ซึ่งตรงกับวันที่ 6 มกราคม ตำนานนี้เป็นที่รู้จักในหมู่ชาวอิตาลีและกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการเฉลิมฉลองคริสต์มาสในประเทศนี้
เบฟาน่ามีภาพลักษณ์ของแม่มดใจดีที่ขี่ไม้กวาด บางครั้งเธอสวมชุดเก่าๆ และมักพกถุงขนมและของขวัญติดตัว เธอจะมาเยี่ยมบ้านต่างๆ ในคืนวัน Epiphany และวางของขวัญไว้ในถุงเท้าที่เด็กๆ แขวนไว้ โดยเด็กที่ทำตัวดีจะได้รับขนมหรือของเล่น ในขณะที่เด็กที่ทำตัวไม่ดีจะได้รับถ่านหินหรือของที่ไม่พึงประสงค์แทน
ตำนานของเบฟาน่าเริ่มต้นจากเรื่องเล่าของสามนักปราชญ์ที่เดินทางไปหาเด็กพระเยซูเมื่อพระองค์ประสูติ พวกเขาแวะถามทางจากเบฟาน่า แต่เธอไม่สามารถบอกเส้นทางได้ และเมื่อพวกเขาเชิญเธอให้ร่วมเดินทางไปเยี่ยมพระเยซู เธอก็ปฏิเสธเพราะมีงานต้องทำ หลังจากนั้นเธอเสียใจที่ไม่ได้ไปเยี่ยมพระเยซู จึงออกเดินทางตามหาพระองค์ด้วยตนเอง ในขณะที่เธอเดินทาง เธอมอบของขวัญให้กับเด็กๆ ตามบ้านที่เธอพบ เพื่อเป็นการชดเชยที่เธอไม่ได้ไปหาพระเยซู
ในวัฒนธรรมของชาวอิตาลี เบฟาน่าถือว่าเป็นส่วนสำคัญของเทศกาลคริสต์มาส โดยเฉพาะในแถบชนบทที่เด็กๆ ต่างรอคอยการมาของเธออย่างใจจดใจจ่อ นอกจากการมอบของขวัญแล้ว เบฟาน่ายังเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังและการเริ่มต้นใหม่ในปีใหม่ เธอนำพาความสุขและความโชคดีมาให้ครอบครัวที่เธอมาเยี่ยม ทำให้ตำนานของเธอเป็นที่รักของเด็กๆ และผู้ใหญ่ในอิตาลี
บทสรุป
ตำนานและความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับวันคริสต์มาสไม่ได้เป็นเพียงเรื่องราวสนุกๆ เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงวัฒนธรรมและความเชื่อที่มีมานานหลายศตวรรษ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของซานตาคลอส ต้นคริสต์มาส หรือมนุษย์หิมะ ตำนานเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้วันคริสต์มาสเป็นวันที่เต็มไปด้วยความหมายและความสุขที่ผู้คนทั่วโลกเฉลิมฉลองกันทุกปี
ชมบทความท่องเที่ยวอื่นๆได้ที่นี้