ทะเลสาบ เป็นธรรมชาติที่มีเสน่ห์และเต็มไปด้วยเรื่องราวลึกลับที่ทำให้ผู้คนหลงใหลมานานนับศตวรรษ บางแห่งสวยงามจนได้รับการยกย่องว่าเป็นอัญมณีของธรรมชาติ แต่ในขณะเดียวกัน กลับมีตำนานและเรื่องเล่าที่น่าขนลุกแฝงอยู่ในความงามนั้น จนถูกเรียกว่า ทะเลสาบต้องคำสาป หากคุณเป็นคนที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของธรรมชาติและกลิ่นอายของตำนานโบราณ
1. ทะเลสาบโลชเนสส์ (Loch Ness), สกอตแลนด์
ทะเลสาบ โลชเนสส์ตั้งอยู่ในภูมิภาคไฮแลนด์ของสกอตแลนด์ เป็นทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ที่ลึกที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป ด้วยความลึกมากกว่า 230 เมตร และความยาวกว่า 36 กิโลเมตร โลชเนสส์จึงเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความเงียบสงบและเสน่ห์ของธรรมชาติ
สิ่งที่ทำให้ทะเลสาบโลชเนสส์มีชื่อเสียงระดับโลกคือเรื่องเล่าของ “เนสซี” (Nessie) สัตว์ประหลาดลึกลับที่มีลำตัวเหมือนไดโนเสาร์ ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวบางคนอ้างว่าเคยเห็นเนสซีโผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำในบางครั้ง แม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจน แต่ตำนานนี้ได้ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาที่นี่เพื่อสัมผัสบรรยากาศลึกลับ
โลชเนสส์ไม่ได้มีเพียงแค่ตำนาน แต่ยังมอบทัศนียภาพที่สวยงาม นักท่องเที่ยวสามารถล่องเรือชมวิวทะเลสาบที่โอบล้อมด้วยภูเขาและป่าเขียวขจี หรือสำรวจปราสาท Urquhart Castle ที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 1,000 ปี การมาเยือนที่นี่จึงเหมือนการย้อนเวลาไปสัมผัสธรรมชาติและประวัติศาสตร์ในคราวเดียวกัน
2. ทะเลสาบนาตรอน (Lake Natron), แทนซาเนีย
ทะเลสาบนาตรอนเป็นหนึ่งในสถานที่ที่งดงามแต่แฝงด้วยความลึกลับ ตั้งอยู่ในพื้นที่แอฟริกาตะวันออก มีชื่อเสียงในเรื่องสีสันที่แปลกตา น้ำในทะเลสาบมีสีแดงสดหรือส้มในบางฤดูกาล เกิดจากความเข้มข้นของเกลือและแร่ธาตุในน้ำที่สูงมาก จนทำให้สิ่งมีชีวิตแทบไม่สามารถอาศัยอยู่ได้
ตำนานเล่าขานว่า ทะเลสาบแห่งนี้เป็นที่ต้องคำสาปจากเทพเจ้าโบราณ สัตว์ที่เผลอเข้าไปสัมผัสน้ำในทะเลสาบจะกลายเป็นหิน ความจริงทางวิทยาศาสตร์อธิบายว่า ความเป็นด่างสูงในน้ำ (ค่า pH ระหว่าง 9-10.5) และอุณหภูมิที่อาจสูงถึง 60 องศาเซลเซียส ทำให้ซากสัตว์ที่ตกลงไปถูกเคลือบด้วยแร่ธาตุ จนดูเหมือนรูปปั้นหิน
แม้ทะเลสาบนาตรอนจะดูน่ากลัว แต่กลับเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยสำคัญของนกฟลามิงโกพันธุ์เล็ก ซึ่งมักมาวางไข่ในบริเวณนี้ ความงามและเอกลักษณ์ของทะเลสาบนาตรอนทำให้เป็นจุดหมายปลายทางที่เหมาะสำหรับนักถ่ายภาพธรรมชาติและนักท่องเที่ยวที่แสวงหาความตื่นเต้น
3. ทะเลสาบติติกากา (Lake Titicaca), เปรูและโบลิเวีย
ทะเลสาบติติกากาตั้งอยู่บนเทือกเขาแอนดีสที่ระดับความสูงกว่า 3,800 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เป็นทะเลสาบที่สูงที่สุดในโลกที่สามารถเดินเรือได้ และยังเป็นแหล่งน้ำจืดที่สำคัญในภูมิภาคนี้
ตามตำนานของชาวอินคา ทะเลสาบติติกากาเป็นสถานที่กำเนิดของโลกและมนุษยชาติ กล่าวกันว่าเทพเจ้าผู้สร้างโลกได้ปรากฏตัวขึ้นจากผืนน้ำของทะเลสาบนี้ และสร้างมนุษย์คู่แรกเพื่อเริ่มต้นอารยธรรม วิญญาณของผู้ที่พยายามค้นหาความลับของทะเลสาบและเมืองโบราณใต้น้ำจะถูกสาปแช่ง เรื่องเล่านี้ทำให้ทะเลสาบเต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์
กิจกรรมที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดคือการล่องเรือไปยังเกาะลอยน้ำของชาวยูรอส (Uros) ที่สร้างจากต้นกกพื้นเมือง ชาวพื้นเมืองยังคงรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมไว้เป็นอย่างดี การมาเยือนทะเลสาบติติกากาไม่เพียงแต่จะได้สัมผัสกับความงามของธรรมชาติ แต่ยังได้เรียนรู้เรื่องราวทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์อันล้ำค่าอีกด้วย
4. ทะเลสาบนิวเคมโบ (Lake Nyos), แคเมอรูน
ทะเลสาบนิวเคมโบ ตั้งอยู่ในภูมิภาคตะวันตกเฉียงเหนือของแคเมอรูน และถือเป็นหนึ่งในทะเลสาบที่ลึกลับและน่ากลัวที่สุดในโลก ทะเลสาบนี้เกิดขึ้นจากปล่องภูเขาไฟที่ดับแล้ว และมีน้ำที่ดูเงียบสงบจนยากจะคาดเดาถึงภัยที่ซ่อนอยู่
ในปี 1986 เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นเมื่อก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมหาศาลพวยพุ่งขึ้นมาจากใต้ทะเลสาบ ส่งผลให้ผู้คนและสัตว์ในบริเวณโดยรอบเสียชีวิตมากกว่า 1,700 ชีวิตในทันที การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ชี้ว่า น้ำในทะเลสาบมีการกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไว้ในปริมาณมหาศาล และเมื่อเกิดการปลดปล่อยอย่างฉับพลัน ก๊าซที่ไม่มีสีและกลิ่นนี้จะทำให้ทุกสิ่งในรัศมีหลายกิโลเมตรขาดอากาศหายใจ
ตำนานท้องถิ่นเล่าขานว่า ทะเลสาบแห่งนี้ถูกสาปแช่งโดยเทพเจ้าโบราณ เนื่องจากมนุษย์ได้ละเมิดกฎของธรรมชาติ ความเชื่อนี้ยังคงหลงเหลือในกลุ่มชนพื้นเมืองจนถึงปัจจุบัน แม้เหตุการณ์ดังกล่าวจะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่ทะเลสาบนิวเคมโบยังคงเป็นที่สนใจของนักวิทยาศาสตร์และนักท่องเที่ยวที่หลงใหลในธรรมชาติอันลึกลับ
5. ทะเลสาบราโนคา (Lake Rano Kau), เกาะอีสเตอร์
ทะเลสาบราโนคา เป็นทะเลสาบภูเขาไฟที่ตั้งอยู่ภายในปล่องภูเขาไฟขนาดใหญ่บนเกาะอีสเตอร์ (Easter Island) หรือ “Rapa Nui” ที่โด่งดังจากรูปปั้นหินโมอาย (Moai) ซึ่งเป็นมรดกโลกที่ทรงคุณค่า บริเวณทะเลสาบแห่งนี้นอกจากจะสวยงาม ยังเป็นแหล่งประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันล้ำลึกของชาวพื้นเมือง
น้ำในทะเลสาบมีคุณสมบัติพิเศษคือเต็มไปด้วยสาหร่ายและพืชน้ำที่หนาแน่น ผืนน้ำสะท้อนแสงสีฟ้าและเขียวมรกต ชาวพื้นเมืองเชื่อว่าทะเลสาบราโนคาถูกปกปักรักษาโดยเทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ และเป็นสถานที่ที่วิญญาณของผู้ละเมิดคำสั่งเทพเจ้าจะถูกกักขังไว้
ทะเลสาบราโนคาเป็นสถานที่ที่มีทัศนียภาพอันน่าทึ่ง โดยมีผนังปล่องภูเขาไฟสูงชันล้อมรอบ คุณสามารถเดินสำรวจริมทะเลสาบ หรือขึ้นไปยังจุดชมวิวเพื่อชมทะเลสาบที่สวยงามตัดกับมหาสมุทรแปซิฟิก นอกจากความงามที่น่าทึ่งแล้ว บรรยากาศลึกลับและเรื่องเล่าทางวัฒนธรรมยังทำให้การมาเยือนที่นี่เป็นประสบการณ์ที่ยากจะลืมเลือน
สรุป
ทั้งทะเลสาบนิวเคมโบและทะเลสาบราโนคา ต่างสะท้อนความลึกลับและพลังของธรรมชาติที่เกินกว่าจินตนาการของมนุษย์ แม้ว่าคำสาปจะเป็นเพียงเรื่องเล่าที่สร้างสีสัน แต่ความงามและความพิเศษของทะเลสาบเหล่านี้คือสิ่งที่ทำให้พวกมันน่าหลงใหลอย่างแท้จริง นักท่องเที่ยวที่รักการผจญภัยและหลงใหลในตำนาน ควรมาเยือนเพื่อสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษที่มีทั้งความงดงามและความลึกลับในที่เดียว!
ชมบทความท่องเที่ยวอื่นๆได้ที่นี้