เมื่อพูดถึงคำว่า “ภูเขาไฟ” หลายคนอาจจะนึกถึงภาพลาวาเดือดปุด ๆ ควันสีเทาลอยโขมง และ การปะทุรุนแรงที่สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้ที่อยู่ใกล้เคียง แต่ในอีกแง่มุมหนึ่ง ภูเขาไฟกลับเป็นสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งในแง่ของธรณีวิทยา ระบบนิเวศ และ การปรับตัวของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่รอบ ๆ หลายครั้งเราอาจจะคาดไม่ถึงว่าสิ่งมีชีวิตใดบ้างที่สามารถทนต่อความร้อนสูง ความเป็นกรด หรือแม้แต่การปะทุที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับ 5 สิ่งมีชีวิตประหลาดที่ใช้ชีวิตอย่างน่าทึ่งในสภาพแวดล้อมของภูเขาไฟ และ บางชนิดอาจแทบไม่เคยมีใครรู้ว่ามันมีอยู่จริง
1. ปลาฉลามใต้ภูเขาไฟคาวาชิ
เมื่อคิดถึง “ฉลาม” เรามักจะนึกถึงสัตว์นักล่าที่อยู่ในมหาสมุทรลึก แต่มีสถานที่แห่งหนึ่งที่ทำให้ฉลามกลายเป็นข่าวฮือฮาไปทั่วโลก นั่นก็คือแอ่ง ภูเขาไฟ ใต้น้ำคาวาชิ (Kavachi) ในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งตั้งอยู่ใกล้หมู่เกาะโซโลมอน แอ่งภูเขาไฟแห่งนี้น่าสนใจเพราะเป็นภูเขาไฟใต้น้ำที่ยังคงมีการปะทุเป็นระยะ และ สภาพแวดล้อมโดยรอบนั้นมีทั้งความเป็นกรดสูง และอุณหภูมิที่แปรปรวนอย่างต่อเนื่อง
ปรากฏว่ามีนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งได้ทำการสำรวจโดยใช้กล้องพิเศษเพื่อตรวจสอบสิ่งมีชีวิตในแอ่งลึกดังกล่าว และ พบเข้ากับปลาฉลามสายพันธุ์ต่าง ๆ ทั้งฉลามหัวค้อน และ ฉลามไหม้ (Silky Shark) ที่ว่ายวนอยู่กลางแอ่งภูเขาไฟที่เต็มไปด้วยความร้อน และเคมีที่เป็นกรด ปรากฏการณ์นี้ทำให้เกิดคำถามว่า ปลาฉลามเหล่านี้อยู่รอดได้อย่างไรในสภาพที่แทบไม่เอื้ออำนวยต่อสิ่งมีชีวิต
นักวิจัยตั้งข้อสันนิษฐานว่า ระบบภูมิคุ้มกันและการปรับตัวของปลาฉลามเหล่านี้อาจมีความพิเศษ ทำให้มันสามารถทนต่อค่าความเป็นกรด และ อุณหภูมิสูงในแอ่งภูเขาไฟได้ อีกทั้งยังอาจมีบทบาทของสารต้านอนุมูลอิสระ หรือ กระบวนการขับของเสียที่มีประสิทธิภาพสูง ทำให้ฉลามคาวาชิเป็นหนึ่งในตัวอย่างของการปรับตัวที่น่าทึ่งของสัตว์ทะเลในสภาพแวดล้อมสุดขั้ว
Shark swimming in volcanic waters. Photo National Geographic Society/Waitt Grants Program.
2. ทากยักษ์สีชมพู
เมื่อพูดถึงทาก หลายคนคงจินตนาการถึงสัตว์ตัวนิ่ม ๆ สีเทาหรือสีน้ำตาล แต่มีทากชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่บน ภูเขาไฟ Mount Kaputar ในรัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งมีสีสันโดดเด่นสะดุดตา นั่นคือ “ทากยักษ์สีชมพู” (Pink Slug) ที่ขึ้นชื่อเรื่องสีชมพูสดใสและขนาดตัวยาวได้ถึง 20 เซนติเมตร
สิ่งที่ทำให้ทากชนิดนี้อยู่รอดได้บนภูเขาไฟ Mount Kaputar คือสภาพภูมิอากาศ และ ระบบนิเวศเฉพาะบริเวณยอดเขา ซึ่งเกิดจากการปะทุของภูเขาไฟในอดีต ทำให้ดิน และ พืชพันธุ์บางชนิดมีลักษณะพิเศษที่เอื้อต่อการดำรงชีวิตของทากยักษ์สีชมพู อีกทั้งการมีสีชมพูสดก็ไม่ได้เป็นเพียงความบังเอิญ แต่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสีสันนี้อาจเกี่ยวข้อง กับ เม็ดสีตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นจากการย่อยสลายหรือการกินสาหร่าย และ เชื้อราที่พบในสิ่งแวดล้อมบนยอดภูเขาไฟ
ทากยักษ์สีชมพูเป็นตัวอย่างของสัตว์ที่ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่หฤโหด และ มีเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นภูมิประเทศสูงชัน สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา และ ระบบนิเวศที่มีความหลากหลายจำกัด ขณะเดียวกันก็สะท้อนให้เห็นถึงความน่าพิศวงของธรรมชาติที่ทำให้สัตว์สามารถวิวัฒน์ และ อยู่รอดได้ในพื้นที่อันโดดเด่น
ภาพจาก : realmetro
3. อิกัวน่าแห่งกาลาปากอส (Galapagos Marine Iguana)
หมู่เกาะกาลาปากอส ใน ประเทศเอกวาดอร์ เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะศูนย์กลางของการศึกษาทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาร์วิน แต่สิ่งที่หลายคนอาจไม่ทราบคือ หมู่เกาะแห่งนี้เต็มไปด้วย ภูเขาไฟ หลายลูกที่ก่อตัวเป็นต้นกำเนิดของภูมิประเทศสุดแปลกตา หนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่โดดเด่นบนภูเขาไฟเหล่านี้คือ “อิกัวน่าแห่งกาลาปากอส” หรือที่เรียกว่า Galapagos Marine Iguana
อิกัวน่าทะเลสายพันธุ์นี้สามารถดำในน้ำได้อย่างเชี่ยวชาญ เพื่อหาอาหารจากสาหร่ายทะเลที่เกาะอยู่บนหินลาวาริมชายฝั่ง นักวิทยาศาสตร์ชี้ว่า อิกัวน่าเหล่านี้มีความสามารถในการปรับตัวให้เหมาะสมกับอุณหภูมิ และ สภาพความเป็นกรดด่างได้ดีเยี่ยม อีกทั้งเกล็ด และผิวหนังของมันยังทนทานต่อความร้อนจากลาวาที่เคยปะทุ ทำให้พวกมันสามารถใช้ชีวิตได้ทั้งบนผืนดินที่ปกคลุมด้วยลาวาเก่า และในน้ำทะเลที่เย็นยะเยือก
ไม่ใช่แค่การปรับตัวด้านโครงสร้างร่างกายเท่านั้น แต่อิกัวน่าชนิดนี้ยังพัฒนาพฤติกรรมที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม หากมีภูเขาไฟปะทุ พวกมันจะอพยพไปยังพื้นที่ที่ปลอดภัยกว่า และเมื่อสถานการณ์สงบลง ก็จะกลับมาหาแหล่งอาหารเดิม ด้วยลักษณะชีวิตที่แสดงออกถึงการดำรงชีพในพื้นที่สุดขั้ว อิกัวน่าแห่งกาลาปากอสจึงถือเป็นขุมทรัพย์ทางชีววิทยาที่น่าสนใจต่อการศึกษาเรื่องวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศภูเขาไฟ
4. นกมาเลโอ (Maleo)
“นกมาเลโอ” (Maleo) เป็นนกพื้นเมืองของอินโดนีเซียที่มีลักษณะเฉพาะตัว ตั้งแต่สีสันที่สดใสไปจนถึงนิสัยการฟักไข่ที่ไม่เหมือนนกอื่น ๆ ในโลก เนื่องจากนกมาเลโอจะอาศัยความร้อนจากใต้ดิน หรือ จากสภาพแวดล้อม ภูเขาไฟ ในการฟักไข่ จึงไม่จำเป็นต้องกกไข่เองเหมือนนกชนิดอื่น
ในบางพื้นที่ของอินโดนีเซียที่เต็มไปด้วยภูเขาไฟ นกมาเลโอจะเลือกจุดที่มีทรายร้อน หรือ พื้นที่ที่มีกิจกรรมทางความร้อนใต้ผิวดิน เช่น บริเวณปากปล่องภูเขาไฟที่เย็นลงแล้ว หรือ บริเวณที่ยังมีไอร้อนระบายออกมา พวกมันจะขุดหลุมลึกลงไปในทราย และ วางไข่ไว้ จากนั้นกลบหลุมจนมิด แล้วปล่อยให้ความร้อนจากใต้ดินหรือความร้อนธรรมชาติอื่น ๆ ทำหน้าที่ฟักไข่ให้
เมื่อไข่ฟักออก ลูกนกมาเลโอจะพยายามตะกายขึ้นมาจากหลุม แล้วบินออกสู่โลกภายนอกทันที ซึ่งถือเป็นพฤติกรรมอันน่าทึ่ง เพราะลูกนกมาเลโอเกิดมาพร้อมความสามารถในการบิน แม้ยังไม่เคยมีพ่อแม่คอยสอน การที่พวกมันสามารถดำรงเผ่าพันธุ์ได้ในสภาพอากาศร้อน และ มีไอน้ำจากกิจกรรมภูเขาไฟ ทำให้นกมาเลโอเป็นหนึ่งในตัวอย่างของสัตว์ปีกที่อาศัยประโยชน์จากธรรมชาติทางธรณีวิทยาได้อย่างแยบยล
5. หอยทากภูเขาไฟ (Scaly-foot Gastropod)
ถ้าคุณคิดว่าหอยทากนั้นน่าจะเปราะบางเกินกว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมของ ภูเขาไฟ ล่ะก็ คุณอาจต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ เพราะมีหอยทากชนิดหนึ่งที่ได้รับฉายาว่า “หอยทากเกราะเหล็ก” หรือ Scaly-foot Gastropod ซึ่งอาศัยอยู่ในช่องระบายความร้อนใต้ทะเลลึกที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบภูเขาไฟใต้น้ำ
ช่องระบายความร้อนใต้ทะเลลึก (Hydrothermal Vents) มักจะปล่อยน้ำร้อน และ สารแร่ธาตุมากมายออกมาจากภายในเปลือกโลก ไม่ว่าจะเป็นกำมะถัน หรือ แม้แต่โลหะหนักบางชนิด หอยทากภูเขาไฟชนิดนี้ได้ปรับตัวด้วยการสร้างเปลือกที่ประกอบด้วยแร่เหล็กจากสภาพแวดล้อมโดยรอบ เปลือกของมันจึงมีความแข็งแกร่ง และ ป้องกันอันตรายจากนักล่าใต้น้ำได้เป็นอย่างดี
ไม่ใช่แค่เปลือกที่เป็นจุดเด่น แต่หอยทากชนิดนี้ยังมีต่อมในร่างกายที่สามารถย่อยสลายสารเคมีจากช่องระบายความร้อนได้ นั่นหมายความว่ามันสามารถใช้สารอาหารพลังงานเคมี (Chemosynthesis) แทนการใช้พลังงานแสง ซึ่งเป็นกลไกที่พบได้น้อยมากในระบบนิเวศทั่วไป จึงนับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าทึ่งของการวิวัฒน์ เพื่อความอยู่รอดในสภาพแวดล้อมที่ดูเหมือนแทบจะเป็นไปไม่ได้
บทสรุป
สิ่งมีชีวิตทั้ง 5 ชนิดที่กล่าวมานี้ คือส่วนหนึ่งของตัวอย่างอันน่าทึ่งที่ชี้ให้เห็นว่า ธรรมชาติมีหลากหลายวิธีในการเอาชีวิตรอด แม้ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความท้าทายเช่นบริเวณ ภูเขาไฟ แต่ละชนิดมีวิวัฒนาการและการปรับตัวอย่างเป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นปลาฉลามที่ว่ายผ่านน้ำร้อน และ ความเป็นกรด หอยทากที่สร้างเปลือกเกราะเหล็กจากแร่ธาตุ หรือแม้แต่นกที่ใช้ความร้อนใต้ดินในการฟักไข่
นี่เป็นการตอกย้ำว่าโลกของเรายังมีเรื่องราวลี้ลับอีกมากมายที่รอให้เราค้นพบ และ ภูเขาไฟก็เป็นหนึ่งในเวทีสำคัญที่เผยให้เห็นถึงพลังการปรับตัวของสิ่งมีชีวิตซึ่งเกินคาดหมาย หากเราได้ตระหนักถึงความหลากหลาย และ ความสำคัญของระบบนิเวศตามธรรมชาติ เราอาจมองเห็นหนทางในการดูแล และ อนุรักษ์โลกให้รุ่นลูกรุ่นหลานได้เรียนรู้ต่อไป