ในขณะที่โลกมีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากมาย เช่น ปารีส ลอนดอน และโตเกียว ยังมีเมืองเล็ก ๆ และหมู่บ้านที่ซ่อนเร้นที่มีเสน่ห์ไม่แพ้กัน และอาจทำให้คุณหลงใหลไปกับความงามและความเป็นเอกลักษณ์ของมัน บทความนี้จะแนะนำ 10 เมืองลับแลที่คุณอาจไม่เคยเห็น ซึ่งเป็นสถานที่ที่คุณควรสำรวจในการเดินทางครั้งต่อไปของคุณ
- 1. ฮัลชตัท ออสเตรีย (Hallstatt Austria)
- 2. เชฟชาอูน โมร็อกโก (Chefchaouen Morocco)
- 3. กอลมาร์ ฝรั่งเศส (Colmar France)
- 4. ไจซาลเมอร์ อินเดีย (Jaisalmer India)
- 5. เรคยาวิก ไอซ์แลนด์ (Reykjavik Iceland)
- 6. ซีบินิค โครเอเชีย (Šibenik Croatia)
- 7. เลาเทอร์บรุนเนิน สวิตเซอร์แลนด์ (Lauterbrunnen Switzerland)
- 8. คาสเคส โปรตุเกส (Cascais Portugal)
- 9. ซามอชช์ โปแลนด์ (Zamosc Poland)
- 10. บูราโน อิตาลี (Burano Italy)
- สรุป
1. ฮัลชตัท ออสเตรีย (Hallstatt Austria)
ตั้งอยู่ริมทะเลสาบฮัลชตัท หมู่บ้านนี้มีทิวทัศน์ที่สวยงามและเป็นที่รู้จักในฐานะมรดกโลกของยูเนสโก ความงามของภูเขาและทะเลสาบที่ล้อมรอบทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนและสัมผัสกับธรรมชาติ นอกจากนี้ คุณยังสามารถเยี่ยมชมเหมืองเกลือโบราณที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 7,000 ปี และสำรวจถ้ำหินปูนที่น่าตื่นตาตื่นใจ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัย สามารถเดินป่าหรือปั่นจักรยานรอบทะเลสาบเพื่อชมทิวทัศน์ที่งดงามได้
2. เชฟชาอูน โมร็อกโก (Chefchaouen Morocco)
เมืองนี้มีชื่อเสียงจากบ้านเรือนที่ทาสีฟ้าอ่อนทั้งเมือง การเดินเล่นในตรอกซอกซอยของเชฟชาอูนจะทำให้คุณรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในภาพวาด สัมผัสกับวัฒนธรรมและอาหารท้องถิ่นที่นี่เป็นประสบการณ์ที่ไม่ควรพลาด ไม่ว่าจะเป็นการชิมอาหารโมร็อกโกที่หอมหวานเช่น แท็กีเน่ หรือการช็อปปิ้งสินค้าพื้นเมืองในตลาดท้องถิ่น ที่นี่คุณยังสามารถเดินป่าขึ้นไปยังภูเขาริฟเพื่อชมวิวเมืองจากมุมสูงซึ่งจะมอบภาพที่สวยงามไม่เหมือนใคร
3. กอลมาร์ ฝรั่งเศส (Colmar France)
กอลมาร์เป็นเมืองเล็กๆ ในแคว้นอาลซัสที่มีเสน่ห์ด้วยบ้านเรือนที่ทาสีสันสดใสและสถาปัตยกรรมที่คงความเป็นเอกลักษณ์ การเดินเล่นริมคลองในกอลมาร์จะทำให้คุณรู้สึกเหมือนกลับไปยังยุคกลาง นอกจากความงามของเมืองแล้ว กอลมาร์ยังเป็นแหล่งกำเนิดของศิลปินชื่อดังเช่น อัลเบร็คท์ ดือเรอร์ และมีพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจหลายแห่ง เช่น พิพิธภัณฑ์อันเตอร์ลินเดนที่จัดแสดงผลงานศิลปะและวัตถุโบราณ นอกจากนี้ยังมีเทศกาลดอกไม้ที่จัดขึ้นทุกปีในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่เพิ่มสีสันและความสวยงามให้กับเมือง
4. ไจซาลเมอร์ อินเดีย (Jaisalmer India)
ไจซาลเมอร์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “เมืองสีทอง” เป็นเมืองที่ตั้งอยู่กลางทะเลทรายทาร์ในรัฐราชสถาน ไจซาลเมอร์มีป้อมปราการที่สร้างด้วยหินทรายสีทองซึ่งสร้างความงดงามอันยิ่งใหญ่ให้กับเมืองนี้ เมื่อคุณเดินเล่นในเมืองเก่า คุณจะพบกับสถาปัตยกรรมที่มีความละเอียดอ่อน เช่น ฮาวาลี (Haveli) ซึ่งเป็นบ้านพักของพ่อค้าผู้ร่ำรวย นอกจากนี้ การนั่งอูฐในทะเลทรายทาร์เพื่อชมพระอาทิตย์ตกดินยังเป็นกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดสำหรับผู้ที่มาเยือน
5. เรคยาวิก ไอซ์แลนด์ (Reykjavik Iceland)
แม้เรคยาวิกจะเป็นเมืองหลวงของไอซ์แลนด์ แต่เมืองนี้ยังคงความสงบและเป็นธรรมชาติ ที่นี่คุณสามารถเพลิดเพลินกับการชมแสงเหนือ (Aurora Borealis) ที่งดงามในช่วงฤดูหนาว เรคยาวิกยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลายแห่ง เช่น โบสถ์ Hallgrimskirkja ที่มีสถาปัตยกรรมที่ไม่เหมือนใคร และบลูลากูน (Blue Lagoon) ซึ่งเป็นน้ำพุร้อนธรรมชาติที่เหมาะสำหรับการผ่อนคลาย
6. ซีบินิค โครเอเชีย (Šibenik Croatia)
ซีบินิคเป็นเมืองเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ริมทะเลอาเดรียติกในโครเอเชีย เมืองนี้มีความงดงามด้วยปราสาทเก่าแก่และโบสถ์ที่มีสถาปัตยกรรมเรเนซองส์ที่สวยงาม หนึ่งในสถานที่สำคัญของซิบินิคคือโบสถ์เซนต์เจมส์ (Cathedral of St. James) ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก นอกจากนี้ ซีบินิคยังมีชายหาดที่สวยงามและน้ำทะเลที่ใสสะอาด ทำให้เป็นที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนและการเล่นน้ำ
7. เลาเทอร์บรุนเนิน สวิตเซอร์แลนด์ (Lauterbrunnen Switzerland)
เลาเทอร์บรุนเนินเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ในหุบเขาที่ล้อมรอบด้วยภูเขาสูงและน้ำตกที่สวยงามกว่า 72 แห่ง หนึ่งในน้ำตกที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ Staubbach Falls ที่สูงถึง 300 เมตร นอกจากนี้ยังมีน้ำตก Trümmelbach ที่ซ่อนอยู่ภายในภูเขา การเดินป่าในเส้นทางที่เรียกว่า Lauterbrunnen Valley จะทำให้คุณได้สัมผัสกับความงามของธรรมชาติอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ยังสามารถนั่งรถไฟขึ้นไปยังยอดเขายุงเฟรา (Jungfrau) ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สูงที่สุดในยุโรป
8. คาสเคส โปรตุเกส (Cascais Portugal)
คาสเคสเป็นเมืองชายฝั่งที่มีความสวยงามและเป็นที่นิยมในหมู่ชาวโปรตุเกส ที่นี่มีหาดทรายขาวสะอาดและทะเลที่ใสสะอาด เหมาะสำหรับการพักผ่อนและทำกิจกรรมทางน้ำ เช่น การเล่นเซิร์ฟ วินด์เซิร์ฟ และการดำน้ำลึก เมืองนี้ยังมีสวนสาธารณะและสวนป่าที่สวยงามเหมาะสำหรับการเดินเล่น นอกจากนี้ Cascais ยังเป็นที่รู้จักในเรื่องของสถาปัตยกรรมเก่าแก่และตลาดนัดที่มีสินค้าท้องถิ่นที่หลากหลาย ให้คุณได้สัมผัสกับวัฒนธรรมและประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ไม่เหมือนใคร
9. ซามอชช์ โปแลนด์ (Zamosc Poland)
ซามอชช์เป็นเมืองที่มีสถาปัตยกรรมเรเนซองส์ที่งดงาม ตั้งอยู่ในแคว้นลูเบลสกีทางตะวันออกเฉียงใต้ของโปแลนด์ เมืองนี้ได้รับการวางแผนและก่อสร้างขึ้นโดยสถาปนิกชาวอิตาลีในศตวรรษที่ 16 มีจตุรัสกลางเมืองที่สวยงามและเป็นมรดกโลกของยูเนสโก การเดินเล่นในเมืองนี้จะทำให้คุณรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปยังยุคเรเนซองส์ ด้วยอาคารที่ทาสีสันสดใสและรายละเอียดทางสถาปัตยกรรมที่ประณีต นอกจากนี้ ซามอชช์ยังมีปราสาทและโบสถ์เก่าแก่ที่น่าสนใจให้เยี่ยมชม เช่น ปราสาท Zamojski และโบสถ์ St. Thomas
10. บูราโน อิตาลี (Burano Italy)
บูราโนเป็นเกาะเล็กๆ ในเมืองเวนิสที่มีชื่อเสียงจากบ้านเรือนที่ทาสีสดใส เกาะนี้เป็นที่รู้จักจากการทอผ้าและลูกไม้ที่มีความละเอียดอ่อนและสวยงาม เดินเล่นในบูราโนจะทำให้คุณได้เห็นบ้านเรือนที่ทาสีสันสดใสในทุกมุม ไม่ว่าจะเป็นสีเหลือง สีชมพู สีฟ้า หรือสีเขียว ซึ่งสร้างความรู้สึกสดชื่นและมีชีวิตชีวาให้กับผู้เยี่ยมชม นอกจากนี้ บูราโนยังมีร้านอาหารที่เสิร์ฟอาหารทะเลสดใหม่ที่จับจากทะเลโดยตรง เมืองนี้เป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบสำหรับการพักผ่อนและสัมผัสกับวัฒนธรรมท้องถิ่นในบรรยากาศที่เงียบสงบและงดงาม
สรุป
การสำรวจเมืองลับแลที่ซ่อนเร้นจะทำให้คุณได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่แตกต่างจากการท่องเที่ยวในสถานที่ยอดนิยม ไม่ว่าจะเป็นการเดินเล่นในเมืองเก่า การชมธรรมชาติที่งดงาม หรือการสัมผัสกับวัฒนธรรมท้องถิ่น เมืองเหล่านี้ล้วนเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ควรค่าแก่การสำรวจและสัมผัสในทุกครั้งที่คุณมีโอกาสเดินทาง
การเดินทางไปยังเมืองลับแลเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะทำให้คุณได้พักผ่อนและสัมผัสกับความงามของโลกเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดโอกาสให้คุณได้เรียนรู้และเข้าใจวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่น การสำรวจและค้นพบเมืองลับแลจะทำให้การเดินทางของคุณมีความหมายและน่าจดจำมากยิ่งขึ้น
ชมบทความท่องเที่ยวอื่นๆได้ที่นี้