ชาวไวกิ้ง หรือ ที่บางครั้งถูกเรียกว่า นอร์สเม็น (Norsemen) เป็นกลุ่มชนพื้นเมืองจากสแกนดิเนเวีย ซึ่งประกอบไปด้วยเดนมาร์ก นอร์เวย์ และ สวีเดนในปัจจุบัน ชื่อเสียงของชาวไวกิ้งเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกในฐานะนักรบ นักเดินเรือ และ นักสำรวจที่เก่งกาจ บางคนมองว่าพวกเขาเป็นผู้บุกเบิกทะเลที่นำพาอารยธรรมและการค้นพบใหม่ๆ สู่โลก แต่ก็มีอีกหลายคนที่เห็นว่าชาวไวกิ้งเป็นอาชญากรผู้โหดเหี้ยมที่เต็มไปด้วยความรุนแรง ในบทความนี้เราจะพาไปสำรวจเรื่องราวของชาวไวกิ้ง และ พิจารณาว่าพวกเขาเป็นนักสำรวจที่ยิ่งใหญ่หรือ เป็นโจรสลัดในยุคโบราณกันแน่
- ประวัติศาสตร์ ชาวไวกิ้ง
- ชาวไวกิ้ง นักรบโหดเหี้ยม หรือ แค่เรื่องเล่าของศัตรู?
- การดื่มจากหัวกะโหลก ความจริงเบื้องหลังภาพลักษณ์ที่น่ากลัว
- พิธี “อินทรีโลหิต” (Blood Eagle) การทรมานที่สะเทือนใจ
- การทรมานในสมัยไวกิ้ง เรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง?
- พิธีกรรมความตายที่โหดเหี้ยมของชาวไวกิ้ง
- ชาวไวกิ้ง ผู้บุกเบิก หรือ อาชญากร?
- บทสรุป
ประวัติศาสตร์ ชาวไวกิ้ง
ชาวไวกิ้งมีบทบาทสำคัญในยุคศตวรรษที่ 8 ถึง 11 ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นยุค “Viking Age” พวกเขาเริ่มต้นการเดินทางสำรวจโดยใช้เรือที่มีความโดดเด่น คือเรือยาว (Longship) ที่ออกแบบมาให้สามารถเดินทางได้ทั้งในแม่น้ำ และ มหาสมุทร ด้วยความสามารถในการเดินเรือที่เหนือกว่า ทำให้ชาวไวกิ้งสามารถขยายอาณาเขต การสำรวจไปไกลถึงหมู่เกาะบริติช ไอซ์แลนด์ กรีนแลนด์ และ แม้กระทั่งชายฝั่งตะวันออกของอเมริกาเหนือ
สิ่งที่ทำให้ชาวไวกิ้งเป็นที่น่าจดจำมากคือความสามารถในการโจมตีเมืองต่างๆ ด้วยความรวดเร็ว และ รุนแรง เช่น การโจมตีลินดิสราฟน์ (Lindisfarne) ในปี ค.ศ. 793 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของยุคไวกิ้ง โดยพวกเขาได้บุกเข้ามาโจมตีและปล้นสมบัติในเมืองและโบสถ์อย่างไม่ปรานี
ชาวไวกิ้ง นักรบโหดเหี้ยม หรือ แค่เรื่องเล่าของศัตรู?
เรื่องราวเกี่ยว กับ ความโหดเหี้ยมของชาวไวกิ้งอาจมาจากบันทึกของศัตรู โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากพงศาวดารของชาวอังกฤษ และฝรั่งเศสที่ถูกชาวไวกิ้งบุกโจมตี แม้ชาวไวกิ้งจะมีชื่อเสียงในด้านการโจมตีที่รุนแรง แต่ก็เป็นไปได้ว่าเรื่องเล่านี้ถูกขยายความเกินจริงโดยศัตรูของพวกเขา เพื่อสร้างความหวาดกลัวในใจผู้คน นักประวัติศาสตร์บางคนเชื่อว่า ชาวไวกิ้งอาจไม่ได้โหดร้ายตามที่บันทึกไว้ แต่เป็นเพียงนักรบที่ใช้ความรุนแรงเพื่อป้องกันตนเองในช่วงเวลานั้นๆ
ยิ่งไปกว่านั้น หลักฐานทางประวัติศาสตร์ยังชี้ให้เห็นว่าชาวไวกิ้งมีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับชาวท้องถิ่นในพื้นที่ที่พวกเขาตั้งอาณานิคม หลายพื้นที่ เช่น ไอร์แลนด์ และ อังกฤษ ชาวไวกิ้งได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมท้องถิ่นและมีการแต่งงานกับชาวพื้นเมือง ชาวไวกิ้งในฐานะนักสำรวจ และ พ่อค้าอาจจะไม่โหดเหี้ยมเท่าที่คนยุโรปตะวันตกบางกลุ่มพยายามวาดภาพ
การดื่มจากหัวกะโหลก ความจริงเบื้องหลังภาพลักษณ์ที่น่ากลัว
หนึ่งในภาพลักษณ์ที่น่ากลัว และ แพร่หลายที่สุดเกี่ยวกับชาวไวกิ้ง คือ การดื่มจากหัวกะโหลกของศัตรูหลังจากชนะสงคราม ตำนานนี้แพร่กระจายอย่างกว้างขวาง แต่ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่แน่ชัดว่านักรบไวกิ้งทำเช่นนั้นจริง ข้อสันนิษฐานส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากเรื่องเล่าของกลุ่มศัตรูหรือพงศาวดารที่พยายามวาดภาพชาวไวกิ้งให้โหดร้ายที่สุด
นักประวัติศาสตร์บางคนเชื่อว่าภาพลักษณ์นี้เกิดจากการตีความผิดของการดื่มจาก “ถ้วยเขาสัตว์” ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ชาวไวกิ้งมักทำในงานเลี้ยงต่างๆ เขาสัตว์ที่ใช้ในการดื่มมีรูปร่างที่ดูคล้ายกะโหลก ทำให้ผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับวัฒนธรรมนี้อาจเข้าใจผิดไปว่าเป็นการดื่มจากกะโหลกศัตรู ดังนั้น การดื่มจากหัวกะโหลกอาจเป็นเพียงเรื่องเล่าที่ถูกขยายเกินจริง
พิธี “อินทรีโลหิต” (Blood Eagle) การทรมานที่สะเทือนใจ
พิธีอินทรีโลหิต (Blood Eagle) เป็นอีกหนึ่งตำนานที่น่าสะเทือนใจเกี่ยวกับชาวไวกิ้ง ว่ากันว่าพิธีนี้เป็นการทรมานที่โหดร้าย โดยจะผ่าหลังของผู้ถูกลงโทษแล้วดึงซี่โครงออกมาให้เหมือนกับปีกของอินทรี พร้อมกับดึงปอดออกมาเพื่อให้ผู้ถูกทรมานต้องทนทุกข์จนเสียชีวิต ชาวไวกิ้งใช้วิธีนี้ในการลงโทษศัตรูหรือคนที่ทรยศ ซึ่งทำให้เกิดความน่ากลัวในตำนานเกี่ยวกับพวกเขา
อย่างไรก็ตาม นักประวัติศาสตร์ยังถกเถียงกันว่า พิธีอินทรีโลหิตมีจริง หรือ เป็นเพียงตำนานที่สร้างขึ้นโดยศัตรูของชาวไวกิ้งเพื่อทำให้พวกเขาดูน่ากลัวยิ่งขึ้น หลักฐานทางโบราณคดีที่สนับสนุนการมีอยู่ของพิธีนี้ยังไม่มีความชัดเจน แต่เรื่องเล่านี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของตำนานไวกิ้งที่สะท้อนถึงความโหดเหี้ยมของพวกเขาในสายตาของศัตรู
การทรมานในสมัยไวกิ้ง เรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง?
หนึ่งในเรื่องเล่าที่ทำให้ชาวไวกิ้งถูกมองว่าเป็นอาชญากรโหดเหี้ยม คือการทรมานอย่างโหดร้ายที่พวกเขาใช้กับศัตรู เรื่องราวเหล่านี้ส่วนใหญ่มีต้นกำเนิดมาจากแหล่งบันทึกในยุคกลาง ซึ่งหลายครั้งก็เป็นการบันทึกโดยผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของชาวไวกิ้งเอง เช่น ชาวอังกฤษและชาวฝรั่งเศส โดยที่โด่งดังที่สุดคือการทรมานที่เรียกว่า “Blood Eagle” หรือ “นกอินทรีโลหิต” ที่ถูกอธิบายว่าเป็นการฉีกซี่โครงออกจากร่างผู้เคราะห์ร้าย แล้วดึงปอดออกมาเพื่อให้ดูเหมือนปีกของนกอินทรี
แม้ว่าจะมีการบันทึก และ เล่าขานเรื่องการทรมานชนิดนี้ แต่หลักฐานทางโบราณคดีที่ยืนยันถึงการใช้ความรุนแรงในลักษณะนี้ยังคงหายาก นักประวัติศาสตร์บางส่วนจึงเชื่อว่าเรื่องราวเหล่านี้อาจถูกขยายเกินจริงหรือแต่งขึ้นเพื่อทำให้ชาวไวกิ้งดูโหดเหี้ยมกว่าเดิม เพื่อเป็นการสร้างภาพลักษณ์เชิงลบ และ เพิ่มความน่ากลัว อย่างไรก็ตาม การทำลายล้างและการทำร้ายร่างกายของศัตรูก็เป็นสิ่งที่พบเห็นได้บ่อยในสงครามยุคนั้น ไม่เพียงแต่ชาวไวกิ้งเท่านั้นที่ใช้ความรุนแรงในการโจมตีและข่มขวัญ
พิธีกรรมความตายที่โหดเหี้ยมของชาวไวกิ้ง
ชาวไวกิ้งเชื่อในเทพเจ้าหลายองค์และมีพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับความตายที่น่าสนใจและบางครั้งก็ดูโหดเหี้ยม หนึ่งในพิธีกรรมที่โด่งดังที่สุดคือการฝังศพของนักรบไวกิ้งผู้ยิ่งใหญ่ ชาวไวกิ้งเชื่อว่าผู้ที่เสียชีวิตในสงครามจะได้เข้าสู่หอวัลฮัลลา (Valhalla) ซึ่งเป็นดินแดนหลังความตายที่เทพเจ้าโอดินจะคอยต้อนรับนักรบที่กล้าหาญ
มีเรื่องเล่าว่าชาวไวกิ้งบางคนเลือกที่จะเผาศพของนักรบบนเรือ ซึ่งเรียกกันว่า “การเผาเรือ” (Ship Burial) เป็นการให้เกียรตินักรบผู้เสียชีวิต โดยเชื่อว่าการเผาศพจะช่วยให้นักรบได้เดินทางไปยังดินแดนแห่งเทพเจ้า ในบางกรณี มีบันทึกว่าทาสหรือภรรยาของนักรบก็ถูกสังเวยพร้อมกับศพของนักรบ เพื่อให้พวกเขาได้ไปสู่โลกหลังความตายด้วยกัน เรื่องเล่าจากชาวอาหรับ Ibn Fadlan ในศตวรรษที่ 10 อธิบายถึงการฝังศพของหัวหน้าชาวไวกิ้ง ที่ทาสหญิงของเขาถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยมเพื่อเดินทางไปกับนายของเธอในชีวิตหลังความตาย
อย่างไรก็ตาม การกระทำที่โหดร้ายในพิธีกรรมเหล่านี้ไม่ได้เป็นเรื่องปกติในทุกสังคมไวกิ้ง แต่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมบางกลุ่มเท่านั้น ขึ้นอยู่กับสถานที่และชนชั้นทางสังคม
ชาวไวกิ้ง ผู้บุกเบิก หรือ อาชญากร?
คำถามที่ว่า ชาวไวกิ้งเป็นผู้บุกเบิกทะเลหรืออาชญากรโหดเหี้ยมยังคงเป็นที่ถกเถียงในหมู่นักประวัติศาสตร์ บางคนมองว่าชาวไวกิ้งเป็นนักสำรวจที่กล้าหาญ ผู้ที่เปิดเส้นทางการค้าระหว่างทวีป และก่อตั้งอาณานิคมในดินแดนที่ไม่เคยมีใครเคยเหยียบย่างมาก่อน ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งเห็นว่าชาวไวกิ้งเป็นอาชญากรที่ใช้ความรุนแรงในการบุกโจมตีและปล้นสะดมทรัพย์สิน
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ บทบาทของชาวไวกิ้งในฐานะนักบุกเบิกทะเลก็ปฏิเสธไม่ได้ พวกเขาได้นำความรู้และเทคโนโลยีในการเดินเรือมาสู่โลก และการค้นพบของพวกเขามีอิทธิพลต่อยุโรปในยุคกลางอย่างมาก แม้ว่าการโจมตีและการใช้ความรุนแรงจะเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวของชาวไวกิ้ง แต่ก็ไม่ได้ลบล้างความสำเร็จในด้านอื่นๆ ของพวกเขา
บทสรุป
ชาวไวกิ้งเป็นกลุ่มชนที่มีความหลากหลายทั้งในแง่ของวัฒนธรรมและความเชื่อ พวกเขาเป็นทั้งนักรบ นักสำรวจ และผู้บุกเบิกทะเล แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็มีบทบาทในฐานะโจรสลัดและอาชญากรในยุคโบราณเช่นกัน เรื่องราวของชาวไวกิ้งยังคงเป็นที่น่าตื่นเต้นและน่าสนใจให้เราย้อนกลับไปสำรวจ เพราะไม่ว่าจะเป็นบทบาทในด้านใด พวกเขาก็ได้ทิ้งร่องรอยที่สำคัญไว้ในประวัติศาสตร์ของโลก
ชมบทความชาวไวกิ้งอื่นๆได้ที่นี้