เที่ยวคิวบา Cuba ชมตึกยุคอาณานิคมของสเปนเมื่อห้าร้อยปีก่อน รถเก่าอเมริกันยุค 50 สีสันสดใสวิ่งขวักไขว่ตามถนน กลิ่นเคล้าซิการ์มวนโตในตรอกเล็ก นี่คือมนต์เสน่ห์แห่งคิวบา
การเดินทางเที่ยวคิวบา Cuba คือการเดินทางท่ามกลางหมู่ตึกยุคอาณานิคมของสเปนเมื่อห้าร้อยปีก่อน กอปรกับบรรดารถเก่าอเมริกันยุค 40 50 สีสันสดใสวิ่งขวักไขว่ตามถนนและการเชื่อมโลกออนไลน์ยังต้องมีพิธีรีตอง กลิ่นเคล้าซิการ์มวนโตในตรอกเล็ก ๆ อันมีคาเฟ่ที่เสิร์ฟเหล้ารัมและโมฆิโตต้นตำรับ พาให้ผู้มาเยือนรู้สึกราวกับว่าได้ย้อนกลับไปเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ผู้คนที่รักความสนุกสนานขับจังหวะท่วงท่าการเต้นซัลซ่าล้อไปกับเสียงคลื่นของทะเลแคริบเบียนที่ซัดสาดจนพาลืมบรรยากาศไปว่าที่นี่คือหนึ่งในสองประเทศคอมมิวนิสต์ทั้งการเมืองและเศรษฐกิจที่หลงเหลืออยู่บนโลกนี้ ไปเที่ยวคิวบาก่อนที่อะไร ๆ ที่นั่นจะเปลี่ยนแปลงไปตามโลกาภิวัฒน์หลังจากเปิดประเทศมากกว่านี้
เริ่มต้นกันที่ปูมหลังของประเทศก่อนไป เที่ยวคิวบา Cuba
หากใครคะแนนวิชาประวัติศาสตร์ดีตอนเด็ก ๆ (หรือบางที่อาจไม่สอนเรื่องนี้ ???) คงจะจำชื่อ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus) นักสำรวจผู้ค้นพบทวีปอเมริกา โคลัมบัสมาถึงทวีปอเมริกาครั้งแรกในปี 1492 และจุดแรกที่เขาขึ้นฝั่งทวีปอเมริกาก็คือเกาะ “คิวบา”
และหากจะกล่าวถึงประเทศเล็กพริกขี้หนูที่อาจหาญต่อกรกับยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกามากว่า 60 ปีและยังหยัดยืนมาได้จนทุกวันนี้คงหนีไม่พ้นประเทศคอมมิวนิสต์หนึ่งเดียวแห่งทวีปอเมริกาคือ “คิวบา”
สเปนครองคิวบาอยู่สามร้อยกว่าปี ในที่สุดก็ต้องปล่อยคิวบาให้เป็นอิสระ หลังสงครามกับอเมริกา (ที่เข้ามาช่วงสงครามประกาศเอกราชพอดี) จากนั้นอเมริกาก็มองคิวบาเป็นรัฐ ๆ หนึ่งของตัวเอง พยายามแทรกแซงด้วยนโยบายต่าง ๆ ถึงขนาดที่สามารถเปลี่ยนประธานาธิบดีคิวบาได้เลยที่เดียว
ความอดทนอดกลั้นมาถึงขีดสุดในสมัยรัฐบาลจอมพลฟุลเจนชิโอ บาติสตา (Fulgencio Batista) ที่อเมริกาใช้การฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างหนักของรัฐบาลคิวบาเป็นเส้นทางไปสู่การกอบโกยผลประโยชน์ไปสู่บรรษัทยักษ์ใหญ่ทั้งสีขาว และสีดำ มีมาเฟียเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ คิวบาในยุคนั้นคนรวยจึงรวยล้นฟ้า คนจนก็จนมากจนน่าเวทนา จุดประกายให้เกิดการปฏิวัติที่นำโดยสองนักศึกษาหนุ่มไฟแรงคือ ฟิเดล คาสโตร (Fidel Castro) ราอูล คาสโตร (Raul Castro) และตอนหลังจะมีแพทย์หนุ่มไฟแรงจากอาร์เจนตินา เออร์เนสโต เช เกวารา (Ernesto “Che” Guevara) มาร่วมด้วย
หนแรกสองพี่น้องทำไม่สำเร็จ ติดคุกก่อนโดนเนรเทศไปสู่เม็กซิโก ซึ่งที่นั่นได้พบกับเช หมอหนุ่มผู้ขี่มอเตอร์ไซค์ทั่วอเมริกาได้และทนเห็นความทุกข์ยากของชนชั้นล่างไม่ได้ จึงสมาทานหลักการคอมมิวนิสต์ของคาร์ล มาร์กซ์ และร่วมกับสองพี่น้องคาสโตรและพรรคพวกรวม 82 คนพายเรือยอชต์มือสองจากชายฝั่งเม็กซิโกไปยังเกาะคิวบาและเหลือรอดชีวิตถึงเกาะคิวบาเพียง 12 คนเท่านั้น ก่อนที่จะรวบรวมพลพรรคที่เหลือบนเกาะจัดตั้งกองโจรรบกับรัฐบาลจอมพลบาติสตาอยู่ปีกว่าก็ประกาศชัยชนะ จัดตั้งรัฐบาลสังคมนิยมเปลี่ยนโฉมจากประเทศยากจนไปสู่ประเทศที่มีสวัสดิการสังคมดีที่สุดแห่งหนึ่งและเป็นประเทศผู้ส่งออกแพทย์และเวชภัณฑ์ยาเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก แม้ว่าจะถูกอเมริกาคว่ำบาตรมากว่า 60 ปี
คิวบากเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในทะเลแคริบเบียน ตั้งอยู่ห่างจากชายฝั่งฟลอริดาของอเมริกาเพียง 150 กม. นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมอเมริกาถึงเต้นเป็นเจ้าเข้าเมื่อรู้ว่าศัตรูอย่างสหภาพโซเวียตแอบเอาขีปนาวุธมาติดตั้งที่คิวบา เกิดเป็นวิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา (Cuban Missile Crisis) เมื่อปี 1962
เอาล่ะ.. เราพักประวัติศาสตร์ฉบับหมากระเป๋าไว้เท่านี้ก่อน เพราะเดี๋ยวย่อหน้าถัด ๆ ไปคงจะได้เจอประวัติศาสตร์กันอีก
เริ่มต้น เที่ยวคิวบา Cuba กัน
หนทางไปเที่ยวคิวบาที่อยู่ห่างจากเมืองไทยกว่าครึ่งโลกนั้นมีทางเลือกหลายหลายมากมายในการเดินทาง ที่สะดวกที่สุด ในเงื่อนไขประหยัดงบที่สุด และไม่มีปัญหาเรื่องวีซ่า แนะนำว่าต้องใช้บริการสายการบินแห่งชาติของรัสเซียอย่าง “แอโรฟลอท” (อันนี้ไม่ได้ค่าตอบแทนใด ๆ จากสายการบิน เป็นเพียงข้อแนะนำ) จากกรุงเทพเพียง 10 ชั่วโมง ออกเช้า ถึงเย็น ได้พักเหนื่อยก่อนบินออกตอตอนเช้าตรู่ อีก 13 ชั่วโมง ไปถึงช่วงเที่ยง ๆ เที่ยวต่อได้อีกครึ่งวัน
สายการบินทางเลือกอื่นที่ได้รับความนิยมในการไปเที่ยวคิวบาไม่น้อยคือ KLM แต่เวลาของเที่ยวบินไม่สวยงามเท่า แอโรฟลอท แถมเป็นการแวะต่อเครื่องในดินแดนสหภาพยุโรปซึ่งเราอาจจะมีโจทย์เรื่องวีซ่า และแน่นอนว่าค่าตั๋วเครื่องบินแพงกว่า
อันนี้เป็นเมืองสำคัญที่คนมาเที่ยวคิวบาห้าพลาด ผมจะพาไปดูทีละเมืองกันเลยครับ
- ฮาวาน่า (Havana)
- วิญาเลส (Vinales)
- เซียงฟวยโกส (Cienfuegos)
- ตรินิแดด (Trinidad)
- ซานตา คลารา (Santa Clara)
- วาราเดโร (Varadero)
ฮาวาน่า (Havana) เมืองหลวงของการ เที่ยวคิวบา Cuba
เป็นทั้งเมืองหลวง เมืองที่ต้องนั่งเครื่องบินมาลงเมื่อจะมาเที่ยวคิวบาและเมืองที่เป็นไฮไลต์ที่สุดของคิวบาแล้ว ปีนี้ (2019) ฮาวาน่ามีอายุครบ 500 ปีพอดี เริ่มก่อตั้งขึ้นโดยชาวสเปนใน คริสต์ศตวรรษที่ 16 ถูกใช้เป็นจุดหยุดพักเรือขนสมบัติ และถือว่าเป็นเมืองที่เป็นจุดเริ่มต้นของการพิชิต ดินแดนภาคพื้นทวีปของชาวสเปน ย่านนี้เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์บาโรกนีโอคลาสสิก อาร์ทเดคโคกว่า 900 อาคาร ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างสมบูรณ์ มีจัตุรัสถึงสี่แห่งอยู่ ในย่านนี้ และถูกยกให้เป็นเมืองมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ.1982 เดินชมจัตุรัส Francisco de Asis รับลมเย็นจากทะเลที่พัดมาจากท่าเรือของเมือง จัตุรัสแห่งนี้ เพิ่งได้รับการบูรณะเมื่อราวทศวรรษที่ 90 แต่เดิมเคยมีตลาดอยู่บริเวณนี้ ต่อมาต้องย้ายออกไปทางด้านใต้เนื่องจากความวุ่นวายของตลาดรบกวนความสงบของบาทหลวงผู้เคร่งครัด
มหาวิทยาลัยฮาวานา (University of Havana)
มหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในคิวบา อายุเกือบ 300 ปี และเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในทวีปอเมริกาและเดินชมจัตุรัสแห่งการปฏิวัติ (The Revolution Square) ในจัตุรัสมีอนุสาวรีย์ของโฮเซ่ มาร์ติ วีรบุรษของคิวบาในช่วงแรก ๆ เป็นคนที่เคลื่อนไหวเพื่อปลดแอกคิวบาจากสเปน โดยโฮเซ่เขียนหนังสือไว้มากมายซึ่งต่อมาได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ทั้งฟิเดล คาสโตร และ เช เกวาราด้วย
ป้อมซานเปโดร เดอ ลา โรคา เดล มอร์โร (San Pedro de la Roca del Morro Castle)
ป้อมปราการป้องกันข้าศึกจากอ่าวฮาวานา สร้างโดยสถาปนิกชาวอิตาเลียนภายใต้การควบคุมของสเปน ถือเป็นตัวอย่างของสถาปัตยกรรมทางทหารแบบสเปน-อเมริกัน โดยใช้กระบวนการทางวิศวกรรมสมัยเรเนสซองส์ จึงถูกยูเนสโก้ยกให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1977
ป้อมซานคาร์ลอส เดอ ลา คาบาญา (San Carlos de La Cabaña)
ป้อมปราการที่ ใหญ่ที่สุดอันดับสามของทวีปอเมริกา เป็นป้อมที่ตั้งอยู่เคียงข้างกับป้อมเดล มอร์โร
มีความสำคัญมากตั้งแต่ในสมัยสเปนยังเรืองอำนาจและต่อมาในช่วงปฏิวัติคิวบาสถานที่แห่งนี้ยังถูกฟิเดล คาสโตร
ยึดและใช้เป็นศูนย์บัญชาการและที่คุมขังนักโทษอีกด้วย
มาเลคอน (The Malecon)
ยามเมื่อดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ชมแสงสีส้มสะท้อนทะเลสีน้ำเงินที่ถนนสายยาวเลียบแนวชายฝั่งที่ก่อขึ้นมาด้วยซีเมนต์สูงเกือบ 2 เมตรแห่งนี้ สัมผัสชีวิตของคนคิวบาอย่างใกล้ชิด โดยตลอดถนนความยาวกว่า 7 กิโลเมตรเต็มไปด้วยผู้คนออกมาตกปลา เดินเล่น นั่งรับลม พลอดรัก เล่นดนตรี ฯลฯ
จัตุรัสวิหาร (The Cathedral Square)
มีวิหารแห่งฮาวานาตั้งอยู่อย่างโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ บริเวณนี้เคยเป็นบึงมาก่อน และถูกใช้เป็นอู่เรือของทหารเรือ จนเมื่อมีการสร้างวิหารในปี ค.ศ. 1727 จึงเริ่มมีการมาสร้างอาคารงดงามโดยรอบ ไม่ลืมแวะถ่ายรูปกับประติมากรรม อันโตนิโอ กาเดส”(Antonio Gades) นักเต้นฟลาเมงโก้ชื่อดังชาวสเปน ที่ยืนพิงเสาอยู่หน้าอาคารPalacio de Lombillo ในจัตุรัสแห่งนี้บริเวณด้านหน้าของโบสถ์ มีน้ำพุสิงโตทำจากหินอ่อนที่แกะโดยช่างชาวอิตาเลียนต่อมาเดินชมจัตุรัส The Magnificent Arms ที่เก่าแก่ที่สุดของฮาวานา สร้างมาตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 1520 หลังจากก่อร่างสร้างเมืองได้ไม่นาน ชื่อของจัตุรัสได้มาจากการที่บริเวณนี้ เคยเป็นจุดรวมพลในสมัยก่อน รอบๆ จัตุรัสเต็มไปด้วยอาคารเก่าแก่ของยุคคริสต์ศตวรรษที่ 18 ตลอดสองข้างทางเรียงรายด้วยต้นปาล์มขวดและร้านหนังสือมือสอง
อนุสาวรีย์ของ Carlos Manuel de Céspedes
ผู้พาคิวบาสู่เส้นทางแห่งอิสรภาพ ซึ่งถูกเอามาตั้งแทนที่อนุสาวรีย์ของ กษัตริย์เฟอร์ดินานที่ 7 แห่งสเปนเมื่อปี ค.ศ. 1955
อาคารคาปิโตลิโอ (Capitolio)
สัญลักษณ์สำคัญของกรุงฮาวานา อาคารแห่งนี้เริ่มสร้างขึ้นเมื่อปี 1926 ผสมผสานสไตล์นีโอคลาสสิกกับอาร์ตเดโค โดยใช้แบบอย่างจากอาคารรัฐสภาที่กรุงวอชิงตัน ดีซี ของสหรัฐอเมริกา เคยเป็นอาคารที่สูงที่สุดของฮาวานาจนถึงช่วงทศวรรษที่ 50 ก่อนจะเสียตำแหน่งให้กับอาคาร FOCSA ปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการบูรณะเพื่อจะใช้เป็นรัฐสภาของคิวบาอีกครั้งหนึ่ง
พิพิธภัณฑ์แห่งการปฏิวัติ (The Museum of the Revolution)
ตั้งอยู่ในเขตเมืองเก่าของฮาวาน่า พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เคยเป็นทำเนียบของประธานาธิบดีคิวบาตั้งแต่สมัยของประธานาธิบดีมาริโอ กาเซีย มิโนคัล จวบจนถึงสมัยของประธานาธิบดีฟุลเคนซิโอ บาติสตา และยังใช้ต่อมาถึงปี 1965 ตัวสถาปัตยกรรมออกแบบในสไตล์นีโอคลาสสิกโดยสถาปนิกชาวคิวบา โรดอลโฟ มารูรี ร่วมออกแบบสถาปนิกชาวเบลเยียม ปอล เบลัว ประดับตกแต่งโดยสตูดิโอทิฟฟานีจากนิวยอร์ก ภายในจัดแสดงนิทรรศกาลเกี่ยวกับการปฏิวัติในช่วงยุค 50 และช่วงเวลาหลังจากปี 1959 รวมทั้งมีเรื่องของการปลดแอกจากสเปนด้วย ด้านหลังของพิพิธภัณฑ์มีเรือยอร์ชเก่าที่ฟิเดล เช และราอูล นามว่า “กรันมา” (Granma) ซึ่งตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่ยายของเจ้าของเรือเดิม ที่นำพาคณะปฏิวัติใช้เดินทางจากเม็กซิโกลอบเข้ามายังคิวบาเพื่อการปฏิวัติด้วย
โรงงานซิการ์ ของขึ้นชื่อที่สุดของคิวบา เพราะสภาพดิน ฟ้า อากาศเอื้ออำนวย ดังนั้นคุณภาพใบยาสูบของที่นี่จึงดีที่สุดเช่นกัน ในโรงงานซิการ์นี้เราจะได้เห็นถึงกรรมวิธีการทำซิการ์ ว่าจะต้องใช้ใบยาสูบที่ตากและถูกทำให้ชื้น ในแต่ละยี่ห้อซึ่งมีรสชาติที่แตกต่างกันไป สำหรับโคฮิบานั้นครั้งหนึ่งเป็นยี่ห้อสุดโปรดของ ฟิเดล คาสโตร ส่วนโรมิโอแอนด์จูเลียต ก็เป็นซิการ์ที่ วินสตัน เชอร์ชิล ชอบมาก ๆ เพราะรสชาตินุ่มนวลไม่แรงเกินไป
พิพิธภัณฑ์เหล้ารัม ( Rum museum ) ชมและชิมเหล้ารัมชั้นดีโดยเหล้ารัมทำมาจากอ้อย หนึ่งในพืชเศรษฐกิจสำคัญ (ครั้งหนึ่งคิวบา เคยได้ชิ่อว่าเป็นราชาแห่งความหวาน เพราะน้ำตาลในโลก 3 ใน 4 ส่วนมาจากคิวบาและเหล้ารัมก็เป็นหนึ่งในของขึ้นชื่อที่สุดของคิวบาเคียงคู่ไปกับซิการ์ นอกจากนี้ค็อกเทลส่วนใหญ่ของคิวบาจะต้องมีการใชเหล้ารัมเป็นส่วนผสม และว่ากันว่าเหล้ารัมของคิวบาเป็นเหล้ารัมที่ดีที่สุดในโลกด้วย
วิญาเลส (Vinales)
ที่ราบกลางหุบเขา แหล่งเพาะปลูกใบยาสูบที่ใหญ่ที่สุดและดีที่สุดในโลกป้อนอุตสาหกรรมซิการ์ชื่อดังของโลก ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกในปีค.ศ. 1999 เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีการทำกสิกรรมและยังคงรูปแบบการทำไร่กสิกรรมแบบดั้งเดิม นอกจากนี้บริเวณหุบเขาแห่งนี้ยังมีการอนุรักษ์ธรรมชาติอันสวยงามจากประชาชนในพื้นที่
ถ้ำอินเดียน (Indian Cave)
พบภาพเขียนสีขนาดใหญ่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ของชาวมูรัล (Prehistory Mural) ที่มีการวาดภาพเขียนสีบนแผ่นหินบนภูเขาขนาดใหญ่ อิสระให้ท่านได้เก็บภาพตามอัธยาศัย
เซียงฟวยโกส (Cienfuegos)
ฉายาปารีสแห่งแคริบเบียน อันเนื่องมาจากตึกรามบ้านช่องสร้างในสไตล์เรอเนสเซองส์รีไววัล (Renaisance Revival) ที่เป็นที่นิยมในยุโรปช่วงศตวรรษที่ 18 – 19 โดยฝีมือบรรดาพ่อค้าชาวฝั่งเศสที่อพยพหนีภัยสงครามปฏิวัติจากเกาะเฮติและบรรดาพ่อค้าชาวฝรั่งเศสที่อพยพมาจากรัฐหลุยส์เซียนาในช่วงเวลาเดียวกัน เปลี่ยนจากหมู่บ้านริมทะเลเล็ก ๆ สำหรับหลบภัยโจรสลัดเป็นหัวเมืองทางเศรษฐกิจที่สำคัญของเกาะคิวบา สวยงามเป็นเอกลักษณ์ จึงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกการวางผังเมืองยุคศตวรรษที่ 19
โรงละคร โทมัส เทอร์รี่ (Tomas Terry Theater)
ซึ่งสร้างโดยนักอุตสากรรมชื่อดังโทมัส เทอร์รี่ โดยโรงละครแห่งนี้สร้างในรูปสไตล์ฝรั่งเศสและอิตาเลียน ภายนอกโดดเด่นด้วยกระเบื้องโมเสกที่อยู่ด้านหน้าตึก โดดเด่นเป็นสง่าเมื่อมองจากสวนโฆเซ่ มาร์ตี้ (Parque Jose Marti) ส่วนภายในยิ่งโดดเด่นหรูหราโออ่ากว่าด้วยหินอ่อนคาร์ราร่า งานไม้ทำด้วยมือและเพดานตกแต่งด้วยภาพวาดบนปูนเปียกหรือเฟรสโก
ตรินิแดด (Trinidad)
เมืองเล็ก ๆ น่ารัก ๆ ในสีพาสเทลทั้งเมืองเมืองเก่าที่ย้อนประวัติไปได้ถึงศตวรรษที่ 16 เมื่อ Diego Velazquez ตั้งชุมชนบนชายฝั่งทางใต้ของเกาะคิวบาเป็นแห่งที่สามและจากนั้นไม่นานกองทัพของ Hernan Cortes ก็ใช้เมืองนี้เป็นทางผ่านเพื่อรวบรวมกองทหารรับจ้างนำไปสู่การบุกยึดครองเม็กซิโกในเวลาต่อมา ทั้งยังเคยเป็นชุมทางของบรรดาโจรสลัดค้าทาสในอดีต ถึงจุดรุ่งเรืองขีดสุดเมื่อตรินิแดดกลายเป็นจุดศูนย์กลางอันดับสามและร่วงโรยไปเมื่อเกิดสงครามเรียกร้องเอกราชในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 จนกระทั่งในทศวรรษที่ 50 ที่อดีตผู้นำเผด็จการจอมพลบาติสตาได้ประกาศให้มีการอนุรักษ์เมืองนี้ไว้ จนกระทั่งตึกรามบ้านช่องในสมัยอาณานิคมสเปนที่มีสีสันสดใสขนาบด้วยทะเลแคริบเบียนแห่งนี้จึ้งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1988
อุทยานเอล นิโช (El Nicho National Park)
ซึ่งตั้งตามชื่อของน้ำตกที่มีชื่อโด่งดัง มีสระน้ำธรรมชาติที่มีผู้แวะเวียนมาแหวกว่ายอยู่มิได้ขาด เริ่มการปีนเขาไปตามเส้นทางในอุทยานเอล นิโช (El Nicho Park) โดยเป็นเส้นทางที่มีความยากขนาดกลาง โดยทั่วไปคนทุกวัยสามารถทำการ trekking ไปตามเส้นทางนี้ได้โดยไม่ยากลำบากมากนัก (แต่ถ้าหากผู้เดินทางท่าใดไม่พร้อมจริงๆ สามารถรออยู่ที่ร้านอาหารเบื้องล่างได้
พิพิธภัณฑ์โรแมนติก (Romantic Museum)
อาคารเก่าสีเหลือซึ่งเคยเป็นคฤหาสน์ของคหบดีค้าน้ำตาลในอดีต Conde De Brunet สร้างในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ซึ่งถือว่าพอดีกับช่วงยุโรแมนติก ด้านในจัดแสดงของสะสมอันมีค่าของบรรดาตระกูลที่เคยร่ำรวยในตรินิแดด แต่ส่วนมากจะเป็นของสะสมของตระกูล Brunet อาทิ เครื่องแก้ว เครื่องเซรามิค porcelain งานศิลป์ชิ้นเอก และเฟอร์นิเจอร์โบราณจากยุคนั้น
ซานตา คลารา (Santa Clara)
เมืองวีรชนแห่งสงครามการปฏิวัติคิวบา ซานตา คลาร่า เมืองเอกของจังหวัดบียา คลาร่า (Villa Clara) เป็นเมืองที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์เนื่องจากที่ตั้งอยู่บริเวณกึ่งกลางของเกาะคิวบาพอดีและเป็นเสมือนชุมทางที่ถนนเส้นต่างๆของคิวบาต้องผ่านบริเวณนี้ ก่อตั้งในปี 1689 เพื่อหลีกเลี่ยงโจรสลัด ในช่วงศตวรรษที่ 19 เคยเป็นที่ตั้งโรงงานโคคา-โคล่าและศูนย์กลางเครือข่ายการคมนาคมของทั้งประเทศ
ในปี 1958 ซานตา คลาร่าเป็นเมืองใหญ่เมืองแรกที่ได้รับการปลดปล่อยจากกองทัพปฏิวัตินำโดยเออร์เนสโต เช เกวาร่า (Ernesto Che Guevara) วีรบุรุษนักปฏิวัติชาวอาร์เจนตินาชื่อดังซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้จอมพลบาติสตาต้องลี้ภัยออกจากคิวบาหลังจากนั้น 12 ชม. เข้าชมเป็นชมสุสานเช เกวารา (Mausoleum of Che Guevara) อุทิศความดีงามให้แก่วีรบุรุษแห่งการปฏิวัติผู้นี้ที่ต้องสละชีพในความพยายามในการปฏิวัติโบลิเวียซึ่งเช เกวาร่าโดนสายลับ CIA สังหาร ก่อนที่จะมีการขุดนำร่างกลับมาฝังที่นี่โดยฟิเดล คาสโตรอดีตผู้นำของคิวบา โดยมีอนุสาวรีย์บรอนซ์หล่อเป็นร่างของเช เกวาร่ายืนตระหง่านพร้อมกับหินแกะสลักผู้ก่อการ 38 นายที่ร่วมกับเช เกวาร่าในการปฏิวัติโบลิเวียแต่ล้มเหลวและถูกสังหารโดย CIA ในที่สุด
พิพิธภัณฑ์ชมรถไฟหุ้มเกราะ (Armored Train Museum)
เกราะซึ่งจัดแสดงขบวนรถไฟหุ้มเกราะที่จอมพลบาติสตาส่งทหารพร้อมอาวุธและเสบียงมาปราบฝ่ายปฏิวัติ แต่ถูกทหารปฏิวัติภายใต้การนำของเช เกวร่าใช้กับดักวางไว้ทำให้รถไฟตกราง ทหารฝ่ายรัฐบาลยอมแพ้เป็นการเปิดทางให้กองทัพฝ่ายปฏิวัติรุกคืบและเข้ายุดกรุงฮาวาน่าได้ในที่สุด
วาราเดโร (Varadero)
วาราเดโร (Varadero) เมืองตากอากาศบนคาบสมุทรหาดทรายขาวยาว 20 กม. โดยมีนักท่องเที่ยวมาเยือนครั้งแรกในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษที่ 1930 ที่เริ่มมีบรรดาเศรษฐี ผู้มีอันจะกินทั้งที่โด่งดังและไม่โด่งดังโดยเฉพาะจากสหรัฐมาสร้างคฤหาสน์หรูพักร้อนที่นี่ อาทิ Irenee Du Pont และ Al Capone แม้ในปี 1959 เมื่อคิวบากลายเป็นประเทศสังคมนิยมและทำให้มีการริบอสังหาริมทรพย์ส่วนตัวเข้าเป็นสมบัติของรัฐ แต่ต่อมาในช่วงทศวรรษที่ 1990 คิวบาเริ่มเปิดรับการลงทุนของต่างชาติอีกครั้งและทำให้วาราเดโรเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวกว่า 1 ล้านคนให้มาเที่ยวคิวบาในแต่ละปี
ล่องเรือคาตามารัน (Catamaran Ride)
เดินทางสู่จุดดำน้ำดูปะการัง ( Snorkeling ) อันสวยงามมีลักษณะภูมิประเทศเป็นแหลมยื่นเข้าไปในทะเลคาริบเบียน และให้อาหารปลาโลมา ที่อาจแหวกว่ายน้ำมาเล่นกับนักท่องเที่ยวอย่างใกล้ชิดซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งความน่าประทับใจที่ ไม่อาจพลาดในการเดินทางทริปนี้
บทสรุป
ทริปนี้ถือว่าคุ้มมาก เที่ยวครบจบในทริปเดียว ทั้งเมืองเก่ายุคอาณานิคมสเปน เมืองเก่าในสไตล์ Renaisanse Revival แบบฝรั่งเศส ธรรมชาติกลางหุบเขา เดินป่าเข้าอุทยานแห่งชาติ ซึมซาบกับตำนานจิตวิญญาณของนักปฏิวัติและอาบแดด ว่ายน้ำกับปลาโลมา แถมตอนเปลี่ยนเครื่องยังได้เที่ยวมอสโก เมืองหลวงของรัสเซีย ประเทศต้นตำรับการปฏิวัติและเป็นพี่ใหญ่ของคิวบา (แม้รัสเซียจะไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์แล้ว แต่ความเป็นพันธมิตรยังใกล้ชิดกันอยู่)
Reference : Cuba Tourism board of Canada
อ่านบทความเกี่ยวกับการท่องเที่ยวอื่นๆต่อได้ที่ >>> https://www.patourlogy.com/blog/inspiration
สนใจทัวร์ส่วนตัว และโปรแกรมทัวร์คิวบา ดูได้ที่นี่ >>> https://www.patourlogy.com/tour/ทัวร์คิวบา