คำว่า ทวีปแอฟริกา ผมว่าในนิยามของใครหลายๆคน คงจะนึกถึงภาพ ความกันดาร แห้งแล้ง ความไม่อุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรหลายๆอย่าง รวมถึงกลุ่มคนผิวสีที่อยู่กระจายกันเป็นหลักแหล่ง ประโยคเหล่านี้คงใช้ไม่ได้กับเมือง เคปทาวน์ (Cape town) ของประเทศแอฟริกาใต้ ที่ยูเนสโกยกให้เป็นเมืองแห่งความหลากหลายทางธรรมชาติเมืองหนึ่งของโลก มีภูเขา มีทะเล มี เส้นทางขับรถที่สวยที่สุดต้นๆของโลก มีซาฟารี มีเพนกวิน มีแมวน้ำ และอื่นๆอีกมากมายที่คุณคิดไม่ถึง วันนี้ทาง patourlogy จะพาทุกคนไปเปิดประสบการณ์ อีกเมืองสวยๆเมืองนึง ที่บอกเลยว่าพลาดไม่ได้เลยทีเดียวครับ
การเดินทางมาที่เคปทาวน์ (Cape Town)
เราสามารถเดินทางมา เคปทาวน์ (Cape town) ได้โดยเครื่องบิน แต่ปัจจุบันมีหลายสายการบินที่เราสามารถเลือกใช้ได้ตามความสะดวกเหมาะสม และเวลาที่ดี ถ้ายกตัวอย่างสายการบินแถวบ้านเราก็ Singapore airlines, Cathay pacific หรือถ้าจะเป็นสายการบินทางแอฟริกา ก็มีทั้ง Kenya airways ,Ethiopia airlines แต่อย่างไรก็ตามไม่มีบินตรงจากไทยไป เราก็ต้องต่อเครื่องอย่างน้อย 1 ต่อ อยู่ดี
ข้อดีของคนไทยสำหรับการไป cape town คือ Free visa 30day เพราะฉะนั้นเราแทบไม่ต้องเสียเวลาสำหรับการยื่นเอกสารเพื่อทำวีซ่า สามารถที่จะจองตั๋วละไปเที่ยวได้เลย
ผมเลือกเดินทางไปกับ Singapore airlines เนื่องจากใช้เวลาเดินทางไม่นาน และไม่อ้อมจนเกินไป แต่ข้อด้อยอีกอย่างคือ ต้องแวะที่ Johanesburg เมืองหลวงของประเทศ แอฟริกาใต้กันก่อนครับ แต่ข้อดีคือเราสามารถแวะ stop over เที่ยวได้ ซึ่งผมจะมาเขียนรายละเอียด สถานที่ท่องเที่ยวเกี่ยวกับเมืองนี้ ภายหลังนะครับ
ช่วงเวลาที่ควรเดินทางมาเคปทาวน์ (Cape Town)
จริงๆแล้วด้วยสภาพลักษณะภูมิอากาศและภูมิประเทศที่ติดทะเล ทำให้ เคปทาวน์ (Cape town) เป็นเมืองที่อากาศดีทั้งปี เนื่องจากตั้งอยู่ในเขตซีกโลกใต้ ภูมิอากาศก็จะสลับกับเมืองของทวีปยุโรป ช่วงหน้าร้อนของยุโรป (มิถุนายน-ตุลาคม) อากาศที่ Cape town จะหนาวสลับฝนตก ถือเป็นช่วง low seasonของที่นี่ แต่ถ้าเป็นหน้าหนาว อากาศที่นี่ก็จะเย็นสบาย ท้องฟ้าใสเหมาะแก่การเที่ยวเป็นอย่างมาก
สรุปช่วงเวลาที่ควรมาเที่ยวคือช่วง พฤศจิกายน -เมษายน แต่นักท่องเที่ยวก็จะเยอะมากเช่นกัน
ความปลอดภัยของการเที่ยวเคปทาวน์ (Cape Town)
เคปทาวน์ (Cape town) เป็นเมืองของคนขาวปกครองโดยคนขาว แต่ก็มีชาวผิวสีอาศัยอยู่บ้าง สำหรับตัวผมแล้ว ถือว่ามีความปลอดภัยในระดับนึง สามารถใช้ชีวิตปกติได้ ขับรถไปเที่ยวนอกเมืองได้ปกติ แต่อย่างไรก็ตามการมาเที่ยวต่างบ้านต่างเมือง เราก็ควรจะระมัดระวัง ไม่ประมาท ไม่ใช่เดินถือกระเป๋าแบรนด์เนมล่อตาล่อใจมิจฉาชีพ ไม่ออกเที่ยวในเวลายามวิกาล เพราะเราไม่รู้ว่าบางทีมิจฉาชีพจะมาในรูปแบบไหน
สถานที่ท่องเที่ยวหรือกิจกรรมที่ควรหรือต้องทำ Must! ในเคปทาวน์ (Cape Town)
อย่างที่ผมเขียนไปก่อนหน้านี้ว่า เคปทาวน์ (Cape town) เป็นเมืองที่มีความหลากหลาย เพราะฉะนั้น สิ่งที่ควรทำมีเยอะ มากๆด้วยครับ เป็นเมืองไม่กี่เมืองที่รวมความจำเพาะของกิจกรรมนั้นไว้ในเมืองเดียวด้วย คือ ถ้าเราอยากเห็นเพนกวิน ต้องไปถึงขั้วโลก ถ้าอยากเห็นฉลามต้องไปถึงออสเตรเลีย ถ้าอยากจิบไวน์แบบดื่มด่ำก็ต้องไปถึงฝรั่งเศส แต่เมืองนี้เรารวมทุกอย่างไว้ในเมืองเดียว!
หลังจากเครื่องบินมาถึงสนามบิน Cape town ผ่าน immigration และ รับกระเป๋าเดินทางแล้ว เราก็ออกมาพบกับ Robert Local guide และคนขับรถของเราในวันนี้ โดยRobert ได้แพลนที่เที่ยวให้เราเสร็จสรรพเรียบร้อย Robert วางแพลนให้เราตามความเหมาะสมของช่วงเวลา ไม่ได้ตามความจำเป็นที่ต้องไปก่อน เพราะ Robert ให้เหตุผลกับพวกเราว่า บางสถานที่คนเยอะน้อยไม่เท่ากัน อยากพาไปที่สถานที่ นักท่องเที่ยวน้อยๆก่อน ซึ่งก็จริง มองในทางกลับกัน ถ้าเราเป็น Local guide กรุงเทพเราคงยังไม่พานักท่องเที่ยวตรงปรี่ไปยังวัดพระแก้ว สนามหลวงที่แรกไรแบบนี้แน่นอน
และนี่คือสถานที่ที่ Robert พาผมและเพื่อนๆไปผจญในcape town เริ่มกันที่…
Seal island
Robert เปิดประเดิมด้วยการพาพวกเราไปเกาะแมวน้ำก่อนเลย การไปเกาะแมวน้ำ เราต้องขับรถไปจอดท่าเรือ แถว Hout bay (ท่าเรือริมหาด ) แล้วต่อเรือไปเกาะแมวน้ำอีกที
เรานั่งเรือไปประมาณ 30นาที จนถึงเกาะแมวน้ำ แต่เราจะไม่ได้ลงไป เรือจะวนอยู่รอบเกาะสักพักใหญ่ ช่วงนี้ก็จะเป็นช่วงเวลาถ่ายรูปแมวน้ำได้อย่างเต็มที่ พอถ่ายจนอิ่มหนำใจ หรือคนขับเบื่อแล้ว (มั้ง) เค้าจะก็จะขับกลับเข้าฝั่ง
Camp bay
“ชีวิตดวี๊ย์ดวีย์” ประโยคแรกที่เพื่อนผมบอกหลังจากที่ robert ขับรถขึ้นมาอีกหน่อย คงไม่แปลกถ้าเราจะใช้แคปชั่นในอินสตราแกรมว่า Good vibes กับสถานที่นี้ วิวภูเขา Table mountain ล้อมรอบด้วยทะเล ผู้คนนอนอาบแดด เสียงคลื่นกระทบชายฝั่ง ผมแทบไม่อยากเชื่อตาตัวเองว่าอะไรมันจะ combination ได้ขนาดนี้
สถานที่นี้เหมาะแก่การพักผ่อน รับประทานอาหาร นั่งชิล จิบไวน์ เป็นอย่างมากเพราะ ใครมาที่นี่ พลาดไม่ได้กับการจะมีชีวิตแบบ Good vibesที่แท้จริง
Table mountain
ลอนดอนมีบิ๊กเบน ปารีสมีไอเฟล งั้น cape town คงต้องมีเจ้า Table mountain ซึ่งเป็น 1ใน7สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่
ลักษณะทางกายภาพก็เป็นเหมือน ภูเขาทั่วๆไป แต่ตัวยอดเขาลักษณะเหมือนโต๊ะกินข้าว เป็นยอดขวางตัดเรียบ เราสามารถขึ้นไปภูเขาได้2แบบ คือ ปีนขึ้นไปเอง หรือจะขึ้นเคเบิลคาร์ ซึ่งคนแข็งแรง บึกบึนอย่างพวกเรา แน่นอนครับ เลือกที่จะขึ้นเคเบิลคาร์
หลังจากเราขึ้นเคเบิลคาร์แล้ว (แน่นอนว่าเสียเงิน) เราก็จะได้เห็นความมหัศจรรย์อย่างที่เค้าว่ากันจริงๆ นั่นก็คือ ทัศนียภาพที่โคตรจะสวยไม่ว่าจะมองมุมไหน วิวข้างล่างตัดกับสีน้ำทะเลเข้ม รวมถึงดอกไม้นานาพรรณ และตัว Dassie หรือ Rock hyrax เป็นสัตว์ในตระกูลฟันแทะ อาศัยตามโขดหินบนภูเขา เราเดินวนถ่ายรูปไปเรื่อยๆแทบจะไม่เบื่อเลย บวกกับสภาพอากาศที่เย็นสบายทำให้รู้สึกว่า ความสุขมันก็ง่ายๆแค่นี้ของมันแหละ
แนะนำควรขึ้นภูเขาตอนช่วงเย็น เพราะจะได้เห็นวิวพระอาทิตย์ตก ภาพที่ได้ก็จะสวยไปอีกแบบ และอย่าลืมดูตารางเปิดปิดกระเช้าด้วยครับ เนื่องจากบางวันถ้าทัศนวิสัยไม่ดี กระเช้าจะทำการปิดทำการ ทำให้ต้องเปลี่ยนแพลนไปทำอย่างอื่นแทน
Lion head
ภูเขาอีกลูกที่นักเดินทางมักจะเดิน hiking ขึ้นไปดูวิวของ Table mountain และตัวเมือง capetown ถ้าเปรียบก็เหมือนกับ Lion head คือส่วนหัว ตัว table mountain คือส่วนลำตัว ใช้เวลาเดินขึ้น 3ชั่วโมง วิวข้างทางคือสวยมากๆ เห็นทั้ง Camp bay อีกมุมก็เห็น Table mountain และสามารถมองเห็น Robben island ได้ในระยะไกล ซึ่งเจ้าเกาะที่ว่านี่คือ เป็นคุกที่จองจำ Nelson mandela ผู้นำแอฟริกา บุคคลสำคัญของโลกนั่นเอง
V&A waterfront
วันนี้เหนื่อยมามากทั้งวันแล้ว Robert เลยพาพวกผมไป check in ที่พัก และพาออกมาเปลี่ยนบรรยากาศสุนทรีย์ยามเย็น
ที่นี่เป็นเหมือน community mall หลายๆMall มีทั้ง indoor outdoor ร้านอาหารทุกอย่าง ร้านของฝากทุกประเภท ให้เราเดินเลือกซื้อเลือกชมตามอัธยาศัย
แนะนำ watershed mall มีของท้องถิ่นที่ระลึกขายน่ารักมากๆ เป็นของที่ชาวบ้านท้องถิ่นเค้าทำขายเอง คล้าย ๆ1ตำบล 1ผลิตภัณฑ์บ้านเรา รายได้ทั้งหมดก็จะมอบให้ชาวบ้านในชนบท ให้เค้ามีแหล่งรายได้จากการที่รัฐบาล support อาชีพเค้า
หลังจากเรารับประทานอาหารเย็น และเดินเล่นได้สักพักใหญ่ บวกกับเหนื่อยมาทั้งวัน Robert จึงไปส่งเราที่พัก และนัดหมายกิจกรรมในวันพรุ่งนี้ต่อ
Signal hill
เช้านี้อากาศ 15 องศา กำลังสบายๆ Robert ขับรถมารับพวกเราตอนเช้า และจะมุ่งหน้าไปยัง Cape Point แผ่นดินปลายสุดของทวีปแอฟริกา แต่เส้นทางที่จะไปนั้น เราทำการบ้านมาดีมากเพราะว่ากันว่า เป็นเส้นทางที่สวยติดอันดับหนึ่งในสิบของโลกเลย แต่ก่อนไป Robert พามาแวะ signal hill เป็นจุดชมวิวที่ไม่น่าพลาดอีกจุดของเมือง เป็นจุดที่เรียกว่าเห็น main idea ทุกอย่างของเมืองนี้ทั้งหมด อ้อ ที่นี่เค้าเล่น Paragliding ที่จุดนี้ด้วยแหละ ใครชอบความตื่นเต้น สนุกสนานบอกเลยว่าต้องจัด
Chapman’s peak
ไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าวันนึง เราจะได้มาอยู่บนถนนที่เค้าว่าสวยติดอันดับต้นๆของโลก ลองจินตนาการถึงการขับรถริมมหาสมุทรแอตแลนติก ทัศนียภาพภูเขาสีเขียวตัดกับสีน้ำทะเล turquoise อากาศสบายๆ 20 องศา ไม่มี pm 2.5 มารบกวนใจ นี่แหละความสุขอยู่แค่เอื้อม เราจะเสียเวลาถ่ายรูปตรงบริเวณนี้นานมาก เพราะฉะนั้นควรจะแพลนเวลาการไป Cape point ให้ยืดออกไปอีกตามความเหมาะสม
Cape point
เราขับรถมาเรื่อยๆจนถึง cape point แต่การที่จะไปถึงจุดๆนี้ก็ไม่ง่ายนัก เพราะต้องนั่ง รถกระเช้าขึ้นไป ยังไม่พอ ยังต้องเดินหอบลิ้นห้อยไปถึงปลายสุดของแหลม ซึ่งเราจะเห็นประภาคาร ซึ่งเจ้าประภาคารสมัยก่อนจะสำคัญมากกับนักเดินเรือ ค้าขาย พอมาสมัยปัจจุบันเป็นจุด Landmark ในการถ่ายรูป และกำลังบอกเราว่ามาถึงบริเวณที่เรียกว่า cape point แล้ว
ต้องท้าวความก่อนว่า ในสมัยก่อนเชื่อว่า Cape point เป็นจุดปลายสุดของทวีปแอฟริกา มหาสมุทรอินเดียและแอตแลนติกบรรจบกันตรงบริเวณแหลมนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เทคโนโลยี GPSได้นำเข้ามาใช้ จึงพบว่า ยังมีจุดปลายสุดของแอฟริกาอีก นั่นก็คือ Cape of agulhas ซึ่งต้องขับลงไปทางใต้อีกประมาณ 100ไมล์
Cape of Good hope
จุดอีกสำคัญอีกจุดหนึ่งที่นักเดินเรือสมัยก่อนจากยุโรปจะต้องอ้อมเข้ามาเข้าสู้มหาสมุทรอินเดีย หรือโซนเอเชีย เพื่อทำการค้าขายนั่นเอง แต่จุดบริเวณนี้มีความแปรปรวนของสภาพอากาศค่อนข้างมาก เรียกง่ายๆว่า อากาศไม่ดีนั่นเอง จุดนี้เลยเกิดการอัปปางของเรือบ่อย เลยตั้งชื่อว่า Cape of storm แต่เพื่อความเป็นสิริมงคล เลยเปลี่ยนชื่อเป็น cape of good hope ในเวลาต่อมา ซึ่ง ขณะที่เราเดินลงไปถึงนั้น สภาพอากาศก็เริ่มไม่ค่อยดี ท้องฟ้าเริ่มขมุกขมัว เราเลยไปถ่ายรูปกับป้ายและก็กลับไปขึ้นรถ
จริงๆแล้ว บริเวณนี้เรียกว่ามาให้รู้ ถ่ายรูปกับป้าย Cape of Good hopeคือ จบ ฟิลลิ่งประมาณไป ต่างจังหวัด ถ่ายรูปกับป้ายจังหวัดพร้อมคำโปรยที่ว่า ยินดีต้อนรับสู่จังหวัด ขอให้ท่านเดินโดยสวัสดิภาพ อะไรประมาณนี้
Boulders Beach
ถ้าพูดถึงเพนกวิน หลายๆคนคงนึกถึงขั้วโลก แต่จะบอกว่าที่ Cape town ชายฝั่งของชานเมืองที่นี่ก็มีเพนกวินให้เราไปเยี่ยมชมได้เหมือนกัน
Robert ขับรถวนทวนเข็มไปยังอีกฝั่งของเมือง ประมาณ 20กิโล ก็ถึง Boulders Beach ตัวหาดบอกเลยว่าไม่ใหญ่มาก แต่สวย และดูมีความเป็น private ระดับนึง ที่นี่แบ่ง หาด ออกเป็น2หาด
- Boulders beach หาดสำหรับเราและเพนกวิน คือเราสามาถที่จะนอนอาบแดดเล่นน้ำทะเลได้เต็มที่เลย ถ้าโชคดีอาจจะมีเพนกวินมาอาบแดดเป็นเพื่อนเราด้วย
- Foxy Beach หาดสำหรับเพนกวินโดยเฉพาะ (เสียค่าธรรมเนียมเยี่ยมชม) คือหาดนี้เป็นเขตคุ้มครองเพนกวิน จะมีไม้กระดานกั้นไม่ให้เราเดินลงไป รบกวนความเป็นส่วนตัวของเพนกวิน เพนกวินที่นี่ก็จะเยอะมากจริงๆ มีทุกอิริยาบถทั้งนอน เดิน ว่ายน้ำ เรียกว่าดูแล้วเพลินตาในระดับนึงแน่นอน เพราะบ้านเราไม่มีเพนกวินให้ดูตามธรรมชาติแบบที่นี่ คนที่มาที่นี่ส่วนใหญ่มักจะมานอนอาบแดดไม่ก็เล่นน้ำทะเล เพราะบรรยากาศดีมาก และทะเลก็สวยมากจริงๆ
Wine tasting
อย่างที่บอกไปว่าที่นี่มีความหลากหลายทางกิจกรรมมาก หลังจากจบกิจกรรมภาคเช้า เราตัดภาพกลับมาเข้ามาในเมืองต่อ ที่นี่มีไร่ไวน์ให้เลือกค่อนข้างเยอะ เราเลยเลือกไร่ไวน์ที่เก่าแก่ที่สุดคือ Groot Constantia Wine Farm บรรยากาศที่นี่ก็ดีมาก มีอารมณ์ย้อนยุคเล็กน้อย ในไร่ไวน์มีโปรแกรมทัวร์การทำไวน์ Museum ประวัติการก่อตั้งที่นี่ รวมถึงให้ทำ Wine tasting นั่นก็คือการชิมไวน์นั้นเอง (สิ่งที่รอมานาน) โดยเค้าจะให้เราชิมตัวที่อ่อนที่สุด แล้วก็ไล่ไปเรื่อยๆจนถึงตัวที่ค่อนข้างเข้ม บรรยากาศรวมๆคือใช้ได้เลย อากาศดีๆ ไวน์ดีๆสักขวด คงจะแฮปปี้ไม่ใช่น้อย
Muizenberg Beach
หาดอีกหาดหนึ่งที่ถือว่าเป็น Land mark ในการถ่ายรูป หรือที่เราเห็นบ้านสีๆใน หนังสือท่องเที่ยวต่างๆ บ้านสีจริงๆแล้วเป็นจุดแต่งตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อที่จะลงเล่นน้ำ เราไปถ่ายรูปกับบ้านสีได้ไม่นานก็กลับ
Bo-Kaap
ย่านชุมชน มุสลิม กับบ้านสีจัดจ้านสไตล์แอฟริกัน ที่นักท่องเที่ยวหลายๆคน มักจะมาถ่ายรูปคู่กับบ้านสี ซึ่งมีหลายเฉดสีให้เลือกถ่าย โพสท่าถ่ายได้เต็มที่แบบไม่ต้องแคร์เจ้าของบ้านก็ได้
จริงๆมีอีกหลายสถานที่ ที่อยากเขียนแนะนำให้คนอ่านได้รู้จักที่นี่อีกมากมาย ซึ่งเมืองนี้อาจจะยังมีหลายๆคนที่ไม่เคยมา ไม่รู้จัก หรืออาจจะติดความเคยชินกับการเที่ยวยุโรป หรือ อเมริกา แต่อยากให้ลองเปิดใจกับ Cape town ดู จะพบว่าเมืองนี้มีความเด็ดดวงไม่แพ้กับเมืองอื่นๆที่กล่าวมาข้างต้นเลย ลองออกจาก comfort zone จากเมืองธรรมดาบ้าง บางทีชีวิตการเดินทางของเราอาจจะเปลี่ยนไปตลอดกาล
อ่านบทความอื่นเกี่ยวกับการท่องเที่ยว >>> https://www.patourlogy.com/blog/inspiration
สนใจทัวร์ของเรา >>> https://www.patourlogy.com/ทริปทัวร์เดินทาง