นามิเบีย ประเทศที่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปแอฟริกา ที่ซึ่งรายล้อมไปด้วยผืนทะเลทรายสุดลึกลับที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เนินทรายสีแดงอันเป็นสัญลักษณ์แห่งประเทศนามิเบีย ชมสัตว์ป่าในอุทยานอีโตชา วิถีชีวิตเผ่าฮิมบา หุบเขาที่ตายแล้วหรือ Dead Vlei
ข้อมูลทั่วไปของประเทศนามิเบีย
- เดินทางอย่างไร? สำหรับการเดินทางในประเทศนามิเบีย (Namibia) ปกติแล้วจะใช้รถบรรทุก Toyota Dyna Truck ที่ถูกดัดแปลงให้เป็นรถ 14-20 ที่นั่ง หรือจะเป็นรถขนาดเล็กอย่าง Land Cruiser 6 ที่นั่ง ซึ่งรถทั้งสองประเภทจะถูกแปลงโฉมให้กลายเป็นรถที่พร้อมลุย มีหน้าต่างบานใหญ่ หลังคาเปิดโล่ง สำหรับเอาไว้ส่องสัตว์โดยเฉพาะ
- ไปช่วงไหนดี? เดินทางในช่วงเดือน พฤษภาคมถึงช่วงต้นเดือนตุลาคม นั้นถือได้ว่าเป็นช่วงฤดูกาลที่สมแก่การท่องเที่ยวที่สุด เนื่องจากทั้งสภาพอากาศที่ไม่มีฝน อากาศเริ่มเย็นไม่หนาวจนเกินไป อีกทั้งช่วงนี้เป็นหน้าแล้ง หญ้าจะขึ้นไม่สูงเหมาะสำหรับการมาส่องสัตว์ที่สุดครับ
- ไปยังไง? ในการเดินทางไปประเทศนามิเบียนั้น ไม่มีบินตรง จำเป็นต้องต่อเครื่องเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น Ethiopian Airlines, Qatar ,Kenya Airways เป็นต้น สำหรับการเดินทางครั้งนี้ เราเลือก Ethiopian Airlines สายบินระดับ Word class ตามสโลแกน “Africa’s World class Airline” ที่จะพาเราบินลัดฟ้าไปยังสนามบินนานาชาติ โฮเซอาคูทาโก (Hosea Kutako International Airport) โดยแวะเปลี่ยนเครื่องที่ Addis Ababa ประเทศเอธิโอเปียก่อน
เมืองหลวงวินด์ฮุก (Windhoek) แห่งนามิเบีย
การเดินทางของเราเริ่มต้นกันที่ เมืองวินด์ฮุก (Windhoek) เมืองหลวงของนามิเบีย เมืองเล็กๆที่สะอาด ปลอดภัย ที่มีชื่อเสียงด้านการค้าขนแกะเป็นอันดับต้นๆของโลก สถานที่ที่น่าสนใจเป็นโบสถ์ มีร้านอาหาร ร้านค้า สถานบันเทิง ร่วมทั้งโครงสร้างเมืองที่เป็น ระเบียบเป็นผลเนื่องมาจากสมัยยุคล่าอาณานิคมของเยอรมัน ส่งผลให้ประชากรที่นี่สามารถใช้ภาษาเยอรมันกันอย่างแพร่หลาย
สำหรับไอคอนของวินด์ฮุก คงจะหนีไม่พ้น โบสถ์ Christuskirche ซึ่งเป็นโบสถ์คริสต์นิกายลูเธอรัน ตั้งอยู่กลางวงเวียนท่ามกลางการจราจรอันแสนวุ่นวายเปรียบเสมือนดั่งจุดศูนย์กลางของเมือง โบสถ์แห่งนี้ถูกสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ.1907 โดยสถาปนิคชาวเยอรมันนาม Gottlieb Redecker ซึ่งได้สรรสร้างสถาปัตยกรรมรูปร่างที่ดูแปลกตาเป็นส่วนผสมระหว่าง ศิลปะนีโอ-โกธิค และ อาร์ตนูโว (Art-Nouveau) ทำให้รูปร่างโบสถ์แห่งนี้บางครั้งก็ดูเหมือนบ้านขนมขิง (Gingerbread) มากกว่าโบสถ์ทั่วๆไป
สปิทซ์คอปป์ (Spitzkoppe) แมทเทอร์ฮอร์ท (Matterhorn) แห่งแอฟริกา
หลังจากนั้นเราจะเดินทางไกลขึ้นไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ระยะทาง 280 กิโลเมตร สู่ สปิทซ์คอปป์ (Spitzkoppe)
สปิทซ์คอปป์ (Spitzkoppe) คือ สถาปัตยกรรมทางธรรมชาติของหินแกรนิตอายุมากกว่า 120 ล้านปี ที่มีรูปร่างแปลกตาซึ่งมีความสวยงามเป็นอย่างมาก ได้ชื่อว่าเป็น Matterhorn แห่งประเทศนามิเบีย ดินแดนสวรรค์ขอนักปีนหินปีนผาที่สามารถไปเดินไปสำรวจได้แทบทุกจุด ไฮไลท์ของการสถานที่แห่งนี้คือการเดินไปหามุมถ่ายรูปแปลกๆที่เกิดความกัดเซาะของหินบริเวณ โดยไฮไลท์หลักของที่นี่คือ
Natural Arch หนึ่งในไฮไลท์ของที่นี่คือ หินโค้งธรรมชาติ ที่เป็นภาพติดโปสการ์ดไปทั่วโลกของนามิเบีย
บริเวณ Spitzkoppe การพักค้างแรมจะต้องเป็นการนอนเต๊นท์เท่านั้น ซึ่งจะมีหลากหลายรูปแบบตั้งแต่การมากางเองในพื้นที่สาธารณะหรือใช้บริการรีสอร์ทแบบเต๊นท์ชนิดหรูห้าดาวก็ย่อมได้
ค่ำคืนนี้เรานอนกันที่ Spitzkoppe Lodge แคมป์กลางทะเลทราย อีกหนึ่งประสบการณ์ใช้ชีวิตกลางทะเลทรายที่หาจากที่ไหนไม่ได้ ชมดาวเต็มท้องฟ้า และเราโชคดีที่วันนี้คุณทางช้างเผือกแวะเข้ามาทักทาย โอบล้อมด้วยแนวเทือกเขา กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา
พร้อมฮัมเพลงชวนให้คิดถึงคนไกล คืนที่ดาวเต็มฟ้าฉันจินตนาการเป็นหน้าเธอ….
ถัดไปจาก Spitzkoppe ไม่ไกลกันนั้นจะมีสถานที่ที่มีความสำคัญอย่าง Twyfelfontein ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของนามิเบีย หนึ่งในสถานที่ทางประวัติศาสตร์ของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของแอฟริกา อายุกว่า 6,000 ปี ซึ่งเราจะเห็นผลงานศิลปะของมนุษย์สมัยโบราณลักษณะเป็น ภาพบนหิน (Rock Art) ซึ่งเกิดจากการวาด หรือแกะสลัก
อุทยานแห่งชาติอีโตชา (Etosha National Park) มรดกเม็ดงามของ นามิเบีย
จาก สปิทซ์คอปป์ (Spitzkoppe) เราเดินทางไปยัง อุทยานแห่งชาติอีโตชา (Etosha National Park) ใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมง อุทยานอีโตชา ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศนามิเบีย หนึ่งในสถานที่ชมสัตว์ป่าที่เยี่ยมยอดที่สุดในโลก บนพื้นที่กว่า 20,000 กิโลเมตร กับการผจญภัยไปในดินแดนแห่งนี้
ร่วมค้นหา Big 5 ของเหล่าสรรพสัตว์ที่ใช้ชีวิตอยู่ตามธรรมชาติ ตามแนวความคิดเรื่องการอยู่อย่างสันติของคนและสัตว์ ทำให้ประเทศนามิเบียประสบความสำเร็จอย่างมากเรื่องการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า นอกจากนั้นทางใต้ของอุทยานมีสถานที่สำคัญอย่าง Okakuejo ซึ่งในอดีตเคยเป็นป้อมปราการเยอรมัน แต่ในปัจจุบันใช้เป็นสถาบันวิจัยระบบนิเวศวิทยาของอุทยานแห่งชาติอีโตชา
กิจกรรมเกมไดร์ฟ (Game Drive) หรือ กิจกรรมที่จะที่ทำให้ได้สัมผัสการดำรงชีวิตของเหล่าสัตว์น้อยใหญ่ตามธรรมชาติอย่างใกล้ชิด บางครั้งสามารถพบเห็นสัตว์สัญจรไปมาบนถนน เพื่อค้นหา Big 5 คือ สิงโต เสือดาว ช้าง ควายป่าและแรด รวมถึงสัตว์ป่าน้อยใหญ่ที่จะออกมาทักทายเราตลอดสองข้างทาง ไม่ว่าจะเป็นยีราฟ ม้าลาย หมูป่า ไฮยีน่า เป็นต้น
ชนเผ่าฮิมบา (Himba)
สัมผัสบรรยากาศของเมืองเล็กๆ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ หมู่บ้านฮิมบา (Himba) ชนเผ่ากึ่งเร่ร่อน ที่มีผมและผิวสีแดง เกิดจากการทาครีมสีแดงจากการผสมผงหินกับเนย เพื่อป้องกันแสงแดด กันแมลง บ้านเรือนของชนเผ่าฮิมบาส่วนใหญ่ทำมาจากดินโคลนเเดง ซึ่งทำให้อบอุ่นเวลาหนาว และเย็นสบายในเวลากลางวัน เผ่าฮิมบานิยมไว้ผมเปียเเละทรงเดรดร๊อก โดยสตรีที่แต่งงานแล้วจะทาผมสีแดงนั่นเอง
ชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติค (Namibia Atlantic Coast)
จากพื้นใจกลางแผ่นเดินเราออกเดินทางมาทางทิศตะวันตกสู่เขตชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก นามิเบียเป็นประเทศที่มีชายฝั่งทะเลยาวถึงประมาณ 2,000 กิโลเมตรตั้งแต่ชายแดนอังโกลา (Angola) ลงมาจรดที่แอฟริกาใต้ (South Africa) แต่พื้นที่ๆดูจะมีชื่อเสียงของชายฝั่งด้านแอตแลนติกมากที่สุดจะอยู่ที่บริเวณด้านที่เรียกว่า “Skeleton Coast”
ด้วยปริมาณน้ำฝนต่อปีที่ถือว่าน้อยมากต่อปี ทำให้พื้นที่นี้ถึงแม้จะอยู่ใกล้ทะเลแต่เรียกว่าเป็นภูมิอากาศที่ไม่อยู่แบบสุดๆแห่งหนึ่งของโลกเรา แทบจะไม่มีพื้นที่อาศัยอยู่อย่างถาวรเลยตลอดช่วงระยะชายฝั่งแห่งนี้ เอกลักษณ์อีกแห่งของ Skeleton Coast คือเป็นพื้นที่มีคลื่นที่ซัดเข้าชายฝั่งแรงและคงที่ตลอดทั้งปี ทำให้ในยุคก่อนๆที่เราจะมีเรือยนต์ที่วิ่งทวนคลื่นได้น้อย การเดินทางขึ้นฝั่งเป็นเรื่องง่ายแต่การจะล่องเรือออกจากฝั่งแทบเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ วิธีการเดินทางออกจากฝั่งทำได้อย่างเดียว คือ ต้องเดินทางผ่านทะเลทรายที่ร้อนและแห้งแล้งไปยังพื้นที่อื่นๆนั่นเอง
ส่วนหนึ่งของชื่อ Skeleton Coast นั้นมากจาก อุตสาหกรรมการล่าวาฬหรือแมวน้ำในสมัยก่อนที่ซากกระดูกมันจะถูกพลัดพามากองบนชายหาดเป็นประจำจนกลายเป็นชื่อเรียกอันแสนจะดูน่าสะพรึงใจ จนต่อมาในยุคที่ที่การล่าวาฬจบลงไปเข้าสู่ยุคเรือยนต์ เรือต่างๆที่มีปัญหานอกชายฝั่งและใช้การไม่ได้สุดท้ายก็จะถูกคลื่นซัดเข้าฝั่งจนมาเกยตื้นกลายเป็นเศษซากเรือจำนวนมากจนถึงในปัจจุบันนี้
จาก Skeleton Coast ลงมาทางทิศใต้ เราก็จะไปพบกับเหล่าอุ๋งๆ อาณานิคมของแมวน้ำเคปเฟอร์ซีล (Cape Fur Seal) ภาพฝูงแมวน้ำเคปเฟอร์ซีลกว่า 100,000 ตัว ตลอดแนวชายฝั่งทะเล เหมือนภาพในสารคดีสัตว์โลกแบบ Full HD ผ่านดวงตาของเรา
และจุดหมายปลายทางของเราถัดไปก็คือ โอเอซิสกลางทะเลทรายนามว่า สวาคอปมุนต์ (Swakopmund)
สวาคอปมุนต์ (Swakopmund) เมืองหลวงแห่งการท่องเที่ยว นามิเบีย
สวาคอปมุนต์ (Swakopmund) เมืองชายทะเลที่มีสถาปัตยกรรมแบบยุคอาณานิคมให้บรรยากาศแบบย้อนยุคในสมัยโคโลเนียล ซึ่งตั้งอยู่ในทะเลทรายนามิบที่ล้อมรอบไปด้วยภูมิประเทศที่แห้งแล้ง นับเป็นเมืองน่ารักๆ ที่มีร้านอาหาร ร้านค้าต่างๆมากมาย เมืองสวาคอปมุนต์ถือเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวของนามิเบียในเขตชายฝั่งทะเลเลยก็ว่าได้ เหมาะอย่างยิ่งที่จะนอนพัก เดินเล่นชมวิว และปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างช้า 2-3 วัน หลังจากที่ผจญภัยกิจกรรมกลางทะเลทรายกันมาก่อนหน้านี้ สำหรับกิจกรรมแนะนำระหว่างอยู่ใน สวาคอปมุนต์ คือสิ่งเหล่านี้
อ่าววาลวิส (Walvis Bay) ตั้งอยู่ที่ชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกและเป็นท่าเรือน้ำลึกแห่งเดียวของนามิเบีย เป็นบ้านหลังใหญ่ของเหล่าฝูงนกฟลามิงโกสีชมพู (Lesser Flamingos) เราจะสามารถพบเห็นเจ้านกสีชมพูหลายพันตัวตลอดแนว ที่น่ารู้ก็คือ หากเป็นช่วงฤดูผสมพันธุ์ สีจะสดและเข้มมาก ตัวเมียมีลักษณะคล้ายตัวผู้แต่มีขนาดเล็ก และสีอ่อนกว่า รวมถึงนกพีลิแกนตัวใหญ่บินโฉบไปมาบนเรือเพื่อขออาหารกินกับนักท่องเที่ยวเพราะเจ้าหน้าที่จะให้อาหารเป็นประจำ นกพีลิแกนจึงคุ้นเคยกับคนและใกล้ชิดกับนักท่องเที่ยวบนเรือ ทำให้สามารถถ่ายรูปได้อย่างใกล้ชิด
อ่าวแซนวิช (Sandwich Harbour) เนินทรายขนาดใหญ่ที่ก่อตัวกลายสภาพดูเหมือนภูเขาที่ตั้งอยู่ริมฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติค หนึ่งในความมหัศจรรย์ของที่นี่ นำท่านขับรถ 4WD ตะลุยไปบนเนินทรายอันมโหฬารแห่งนี้ เรามักจะทำกิจกรรมไป Walvis Bay และ Sandwich Harbour ในวันเดียวกัน
หุบเขาพระจันทร์ (Moon valley) หรือที่หลายคนเรียกว่า ที่ราบสูงเวลวิทเชีย (Welwitschia) เนื่องจากบริเวณนี้มี ต้นไม้พันปี Welwitschia อยู่จำนวนมากในบริเวณที่ราบเวลวิทเชียนี้ เป็นที่น่าแปลกใจที่สามารถมีต้นไม้ท่ามกลางสภาพอากาศที่แสนโหดร้าย แต่เพราะว่าระบบนิเวศทะเลทรายอันแปลกประหลาดของเหล่าพืชทะเลทรายซึ่งไม่น่าเชื่อว่าสามารถดำรงชีพอยู่ได้ แต่ในความเป็นจริงพืชเหล่านี้สามารถอยู่รอดได้อย่างสบายทั้งนี้เกิดจากการที่มีกระแสน้ำเย็น “เบนกูเอล่า” (Benguela current) ผ่านมหาสมุทรแอตแลนติคแถบประเทศนามิเบีย ซึ่งได้พัดกระแสลมไปปะทะกับลมร้อนจากทะเลทรายทำให้เกิดการกลั่นตัวของละอองน้ำกลายเป็นหมอกในตอนเช้าซึ่งมากเพียงพอกับพืชและสัตว์หลายชนิดที่จะดำรงชีวิตในทะเลทรายแห่งนี้
กิจกรรม Living Desert นั่งรถ 4WD ไปสำรวจทะเลทรายที่อาจดูแห้งแล้งและไม่มีชีวิตชีวาแต่แท้จริงแล้วมีสิ่งมีชีวิตอยู่มากมายที่สามารถเอาชีวิตรอดจากความแปลงเปลี่ยนต่างๆ ค้นหาร่องรอยของสัตว์ที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายแห่งนี้ เพื่อมาวิเคราะห์กันว่าสัตว์ประเภทไหนที่ทิ้งร่องรอยไว้ก่อนหน้านี้ และถ้าเป็นไปได้ท่านจะได้เห็นสัตว์ทะเลทรายพวกนี้อย่างใกล้ชิด เป็นการแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับสัตว์และพืชทะเลทรายที่ต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดในทะเลทราย สัตว์ที่พบได้ในทะเลทรายได้แก่ ตุ๊กแก แมงมุม แมงป่อง งู กิ้งก่าและแมลงต่างๆ
ทะเลทรายนามิบ (Namib Dessert)
หลังใช้เวลาอย่างเต็มอิ่มกับการพักผ่อนพร้อมผจญภัยใน สวาคอปมุนต์ เราจะเดินทางเข้าสู่เขตตอนในของประเทศอีกครั้ง ขับรถไปเรื่อยๆทิวทัศน์สองข้างทางก็จะเริ่มเปลี่ยนเป็นแนวภูเขา ก่อนจะเป็นทะเลทราย และนั่นหมายความว่า เราได้มาถึง อุทยานแห่งชาตินามิบ-น็อคลัฟท์ (Namib-Naukluft National Park) ดินแดนแห่งเนินทรายสีแดงอันเป็นสัญลักษณ์ของประเทศนามิเบีย ความยิ่งใหญ่ของของทะเลทรายนามิบ คือ ทะเลทรายนามิบเป็นหนึ่งในทะเลทรายที่เก่าแก่ที่สุดของโลก คาดว่ามีอายุอย่างน้อย 55 ล้านปี ทรายที่นี่พิเศษตรงที่มีสีแดงเพราะธาตุเหล็กที่อยู่ในทรายทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ สีของทรายยังบอกถึงอายุได้ด้วย ยิ่งสีเข้มแสดงว่าอายุมากแล้ว
ไฮไลต์ของทะเลทรายนามิบ หรือ สัญลักษณ์ของการท่องเที่ยวประเทศนามิเบียคือ การมายัง เขตอุทยานแห่งชาติซอสซุสไฟล์ (Sossusvlei) ซึ่งเป็นสถานที่ที่ใช้ถ่ายทำ ภาพยนตร์ และโฆษณาหลายร้อยเรื่องซอสซุสไฟล์ ถือว่าเป็นเนินทรายที่งดงามที่สุด สูงที่สุดและเก่าแก่ที่สุดในโลก ครอบคลุมพื้นที่ถึง 32,000 ตารางกิโลเมตร โดยสถานที่ๆเป็นภาพติดตาคนไปทั่วโลกคือ
เนินที่ 45 (Dune 45) ตั้งอยู่ในหลักกิโลเมตรที่ 45 นับจากประตูทางเข้าอุทยาน เป็นเนินทรายขนาดใหญ่สูงกว่า 150 เมตร เนินทรายนี้มีชื่อเสียงเรื่องรูปร่างสง่างามซึ่ง เป็นเนินทรายที่มีคนถ่ายภาพมากที่สุดในโลก สามารถเดินขึ้นบนยอดเนินทราย Dune 45 เพื่อมองเนินทรายสีแดงขนาดใหญ่โดยรอบ 360 องศา เป็นสถานที่ๆ เอาใจเหล่าสาวกโลกโซเชียลไว้ได้อัพรูปลง Instagram แบบสุดๆ
Dead Vlei เป็นแอ่งโคลนแห้งสีขาวที่แห้งแตกระแหง ถูกโอบล้อมด้วยเนินทรายสีแดงสูง เมื่อก่อนบริเวณนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยน้ำทำให้ต้นไม้เลยมีขนาดสูงใหญ่ อย่างเช่นต้น Camel Thorn จนกระทั่งทะเลทรายถูกพัดเข้ามาเลยเเห้งเเล้ง ต้นไม้ไม่มีน้ำเพียงพอที่จะเอาชีวิตรอด ในที่สุดต้นไม้ตายกันหมด เหลือเพียงลำต้นที่ตั้งตระหง่านแต่ไร้ชีวิต
ความตายไม่ได้น่าเศร้าเสมอไป
ทว่าสวยงาม….
“ดินแดนหลังความตายที่สวยงาม” คงเป็นประโยคที่สามารถบรรยาย สถานที่แห่งนี้ได้ หากลองจินตนาการถึงภาพที่เราจะเห็นซากต้น Camel Thorn ยืนตระง่านในแอ่งโคลนแห้งแตกระแหงสีขาว ห้อมล้อมด้วยเนินทรายสีแดงสูงตัดกับสีฟ้าของท้องฟ้า นับเป็นภาพที่สวยงามตรึงตายิ่งนัก มนต์เสน่ห์แห่งความตาย
แคนยอนเซสเรียม (Sesriem Canyon) แนวหุบเขาลักษณะคล้ายกำแพงที่เกิดตามธรรมชาติจากการกัดเซาะของน้ำและกระแสลม ซึ่งมีความลึกกว่า 30 เมตร ยาวกว่า 1 กิโลเมตร หลังจากอิ่มเอมกันแล้ว เราก็เดินทางกลับไปยังเมืองวินด์ฮุก ซึ่งจะผ่านเทือกเขา Khomas Hochland ที่เป็นแนวเทือกเขาสลับซับซ้อน แถมยังเป็นเส้นทางเทรคของนักเทรคทั้งหลายอีกด้วย
เช้าวันใหม่การได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางทะเลทราย แสงแดดยามเช้าที่ตกกระทบกับเนินทรายสีแดงสีเข้มอ่อนสลับกันไป ราวกับพระอาทิตย์ระบายสี มันชวนให้หลงใหลเสียจริง
การเดินทางท่องเที่ยวจบลงเพียงเท่านี้ จากนามิเบีย เราจะเดินทางไปยังจุดหมายต่อไปที่ ประเทศแซมเบีย (Zambia) และ ซิมบับเว (Zimbabwe) ที่ซึ่งท่านจะได้สิ่งมหัศจรรย์ของโลกใบนี้ของเรา น้ำตกที่ยิ่งใหญ่ตระการตาที่สุดของโลก สถานที่แห่งนั้นคือ น้ำตกวิคตอเรีย (Victoria Falls)
หลายครั้งที่เรารอฟังเรื่องเล่าของคนอื่น
หลายคราที่เราอ่านเรื่องราวมากมายเหล่านั้น
ถ้าอยากให้จุดหมายไม่เป็นแค่เรื่องฝัน
ตัวเรานั้นลองออกจากพื้นที่เดิมๆ
….
ออกเดินทางไปกับเรา Patourlogy
สนใจร่วมเดินทางไปเที่ยว นามิเบีย กับผู้เขียน
เรามีจัดทริปการเดินทางให้กับท่านที่สนใจการเดินทางแบบนี้ เรายินดีเป็นผู้ทำความฝันของคุณให้เป็นความจริง ทริปการเดินทางของเราเหมือนกับงานศิลปะหนึ่งชิ้นที่ได้รับการออกแบบดีไซน์และตกแต่งจนกลายเป็นสุนทรียภาพแห่งการเดินทางที่แท้จริง
ไม่ว่าท่านจะมาคนเดียว เป็นคู่ เป็นครอบครัว ก็ลงตัวด้วยการจัดสรรที่จะมอบความทรงจำที่ไม่มีวันลืม ปี
ติดตามแผนการเดินทางประจำปี พ.ศ.2565
หรือถ้าหากท่านต้องการให้เราจัดกลุ่มส่วนตัวสำหรับครอบครัวของท่าน เราก็ยินดีเช่นกันเพื่อจะทำให้การเดินทางข้ามทวีปครั้งนี้เป็นความทรงจำที่ดีแบบไม่มีวันลืม
- สอบถามเพิ่มเติม โทร : 096 640 4534
- แอด Line : https://line.me/R/ti/p/%40patourlogy
2 Comments
How much does it cost for the trip and how many days?
Hello Kanokpat,
Thank you for interesting our trip to Namibia-Zambia-Zimbabwe. This trip will take 13 days (include fly to Namibia and back to Thailand). For the rest of the information we will send you through the email.