เซลโดเวีย (Seldovia) หมู่บ้านเล็กๆในอลาสก้า (Alaska) หากคุณชอบความเงียบสงบและธรรมชาติสวยๆ คุณจะต้องตกหลุมรักชุมชนเล็กๆแห่งนี้ ที่มีกลิ่นอายมนต์เสน่ห์ของอลาสก้าแบบดั้งเดิม ด้วยประชากรในเมืองเพียง 284 คนโดยประมาณ และมีขนาดเล็กซะจนคุณสามารถเดินทางไปสนามบินได้ในระยะทางไม่ถึง 1 กิโลเมตร แต่ที่นี่กลับเต็มไปด้วยกิจกรรมที่จะทำให้คุณเพลิดเพลินไปกับธรรมชาติได้ทั้งวัน เพราะที่นี่คือเซลโดเวีย
เมืองเซลโดเวีย (Seldovia) ตั้งอยู่ที่ไหน??
เซลโดเวีย (Seldovia) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ริม อ่าวคาเชมัก(Kachemak Bay) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองโฮเมอร์ รัฐอลาสก้า ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่นี่ไม่มีถนนเชื่อมต่อกับเมืองอื่นๆ หากต้องการเดินทางมายัง Seldovia จะต้องมาทางเครื่องบินหรือเรือเท่านั้น จึงไม่แปลกหากคนท้องถิ่นจะเรียกเมืองที่ตัวเองอาศัยอยู่ว่า “City of Secluded Charm” หรือเมืองแห่งเสน่ห์อันเงียบสงบ ด้วยที่ตั้งของเมืองอยู่ท่ามกลางคาบสมุทร ช่องแคบ และทะเลสาบที่แยกตัวออกมาจากชุมชนอื่น ทำให้ที่นี่มีประชากรอาศัยอยู่ไม่ถึง 300 คน อีกทั้งยังไม่มีแม้แต่ป้ายจราจร โรงภาพยนตร์ และร้านค้าขนาดใหญ่
แต่เดิมเมืองนี้เป็นที่อาศัยของชาวรัสเซียที่ล่านากทะเลเพื่อเก็บขนสัตว์และหาไม้ซุงสำหรับใช้ซ่อมแซมเรือ โดยเริ่มแรกพ่อค้าชาวรัสเซียได้แล่นเรือไปตามชายฝั่งอาร์กติกและเดินทางมาขึ้นเกาะ Aluetian ในข่วงยุค 1740 จากนั้นได้พบว่ามีขนเฟอร์จำนวนมากจึงเกิดยุค Fur Rush หรือการล่าขนนากขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1742
อิทธิพลของชาวรัสเซียได้แพร่ขยายไปจนถึงตอนใต้ของ คาบสมุทรเคนาย (Kenai) ซึ่งมีนากทะเลอาศัยอยู่จำนวนมาก เมื่อชาวรัสเซียและชาวอเมริกันได้ย้ายเข้ามาบนเกาะเพื่อล่าตัวนาก ทำให้ชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่บนเกาะจำต้องทำงานให้อุตสาหกรรมขนสัตว์ไปโดยปริยาย โดยผู้ชายจะถูกบังคับให้ออกไปล่าขนสัตว์ ส่งผลให้ครอบครัวของชนพื้นเมืองต้องถูกแยกจากกันและยังเกิดปัญหาขาดแคลนอาหารตามมา
เมื่อมีการล่าสัตว์อย่างต่อเนื่องทำให้จำนวนสัตว์ป่าลดลง จึงเกิดความนิยมในการเพาะพันธุ์สุนัขจิ้งจอกขึ้นบนเกาะ สุนัขจิ้งจอกถูกพาขึ้นไปยังเกาะ Yukon และเกาะ Hesketh บริเวณรอบนอกของอ่าวคาเชมักในอลาสก้า และปล่อยให้พวกมันหาอาหารกันเองอย่างหอยแมลงภู่และหอยชนิดอื่นๆ ตามชายหาด ในช่วงยุค 1920 ชาว Seldovian เองก็ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการทำฟาร์มสุนัขจิ้งจอกซึ่งตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทางใต้ของอ่าวคาเชมักเช่นกัน จนกระทั่งเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในปี 1932 ส่งผลให้ความต้องการและราคาของขนสัตว์ลดลงและต้องปิดกิจการกันไป
เซลโดเวีย ยังเคยเป็นหนึ่งในเมืองท่าไม่กี่แห่งของเวิ้งคุก (Cook Inlet) ซึ่งเป็นเวิ้งที่มีความยาว 180 ไมล์ทอดยาวตั้งแต่อ่าวอลาสก้าไปจนถึงเมืองแองเคอเรจ (Anchorage) เมืองที่ใหญ่ที่สุดของอลาสก้าตั้งอยู่ทางใต้ตอนกลางของอลาสก้า เนื่องจากมีการค้นพบทองคำทำให้ผู้สำรวจแร่หลายพันคนจากรัฐอื่นๆ ในสหรัฐอเมริกาต่างเดินทางด้วยเรือกลไฟมายัง Seldovia
เมื่อมีการก่อสร้างทางรถไฟและการพัฒนาเมืองในด้านอื่นๆ จึงเกิดธุรกิจเดินเรือใน Seldovia มากขึ้น รวมถึงบริษัท Cook Inlet Transportation Company ที่ได้บรรทุกทั้งคน สัตว์ และสินค้าขึ้นเรือมายัง Seldovia จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1926 ได้ก่อสร้างท่าเรือแอนเดอร์สันสำหรับเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ และทำให้ Seldovia กลายเป็นศูนย์กลางการขนส่งใน Southcentral Alaska
ในช่วงยุค 1920 ได้มีปลาเฮร์ริงจำนวนมากจากแปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือและแคลิฟอร์เนียว่ายมายังเวิ้งคุกและอ่าวคาเชมัก จึงมีการสร้างโรงเกลือใน Seldovia รวมถึงดัดแปลงเรือเดินทะเลเก่าๆ ให้เป็นโรงเกลือลอยน้ำเพื่อแปรรูปปลาเฮร์ริง แต่เมื่อเวลาผ่านไปเริ่มมีการปล่อยปละละเลยและทิ้งปลาเฮร์ริงที่เน่าเสียจากโรงเกลือทำให้ฆ่าพืชพันธุ์ที่จำเป็นสำหรับการวางไข่ของปลาเฮร์ริง ธุรกิจประมงปลาเฮร์ริงจึงต้องปิดตัวลงในช่วงยุค 1930 อย่างไรก็ตามยังคงมีการทำประมงจับปลาแซลมอน, ปลาแฮลิบัต และปูต่อไป
นอกจากนี้การทำประมงยังทำให้เกิดอุตสาหกรรมอาหารกระป๋อง และมีการเติบโตของเศรษฐกิจครั้งใหญ่สุดของ Seldovia เมื่อมีการก่อตั้งบริษัท Seldovia Salmon Company ขึ้นราวปี 1910 และเกิดโรงงานอาหารกระป๋องหลายแห่งใน Seldovia จนกระทั่งเกิดเหตุแผ่นดินไหว Good Friday Earthquake ขึ้นในปี 1964 ทำให้อุตสาหกรรมอาหารกระป๋องใน Seldovia ต้องยุติลง
เหตุการณ์แผ่นดินไหว จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของ Seldovia
ฤดูใบไม้ร่วงปี ค.ศ. 1964 ได้เกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่รู้จักกันในชื่อ ‘Good Friday Earthquake’ ซึ่งเป็นเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งที่รุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีบันทึกไว้ของทวีปอเมริกาเหนือ กินระยะเวลายาวนานถึง 5 นาทีและทำให้พื้นยุบตัวลงกว่าหนึ่งเมตร ไม่มีชาวบ้านคนไหนรู้มาก่อนว่าจะเกิดเหตุร้ายแรงถึงขนาดนี้ อีกทั้งยังเกิดพายุรุนแรง และกระแสน้ำพัดสูงที่สุดของปีได้ทำให้ทางเดินไม้ริมทะเล (boardwalk) และอาคารบ้านเรือนเสียหาย
ด้วยเหตุนี้จึงมีการถกเถียงกันของชาวบ้านถึงการลงประชามติเพื่อยินยอมรับข้อเสนอของการเคหะแห่งรัฐอลาสก้า (Alaska State Housing Authority) สำหรับโครงการฟื้นฟูเมือง โดยมีการรื้อถอนทางเดินไม้และอาคารริมน้ำ มีการสร้างกำแพงกั้นน้ำและสร้างเมืองขึ้นใหม่บนพื้นที่ที่สูงขึ้น
สิบปีผ่านไปก่อนที่เมืองจะถูกฟื้นฟูมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกครั้งแต่ไม่สามารถทำให้ Seldovia กลับมาเป็นเมืองศูนย์กลางการประมงของอ่าวคาเชมักได้อีกต่อไป อีกทั้งการสร้างถนนเชื่อมต่อเมืองโฮเมอร์กับเมืองแองเคอเรจ ทำให้โฮเมอร์กลายเป็นศูนย์กลางการทำประมงแห่งใหม่ของอ่าวคาเชมัก
อย่างไรก็ตาม Seldovia ยังคงเสน่ห์ของเมืองชายทะเลไว้ด้วยการสร้างทางเดินไม้ขึ้นมาใหม่ ซึ่งก่อนเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว Seldovia เคยถูกเรียกว่า Boardwalk Town จากทางเดินไม้อันเป็นเอกลักษณ์ที่ยาวรอบหมู่บ้าน พร้อมท่าเรืออันเงียบสงบและถนนในเมืองที่มีผู้คนสัญจรมากกว่ารถยนต์ซะอีก
หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและมีโครงการฟื้นฟูเมือง Seldovia เองก็ได้เตรียมพร้อมในการรับมือกับเหตุฉุกเฉินและก่อตั้งศูนย์แผ่นดินไหวอลาสก้า (Alaska Earthquake Center) ขึ้น เนื่องจากที่ตั้งของ Seldovia มีความเสี่ยงที่จะเจอคลื่นสึนามิหลังจากแผ่นดินไหวได้ รวมถึงการอนุมัติแผนบรรเทาสาธารณภัยจากสำนักจัดการภาวะฉุกเฉินกลาง (FEMA) เมื่อปี 2018 และร่วมมือกับรัฐอลาสก้าเพื่อให้คำแนะนำด้านความปลอดภัยและการอพยพสำหรับชาว Seldovia
กิจกรรมห้ามพลาดเมื่อมาเยือนเมืองเซลโดเวีย(Seldovia)
แม้ว่าเซลโดเวีย จะไม่มีสิ่งอำนายความสะดวกและแหล่งความบันเทิงเหมือนที่เมืองใหญ่ๆ มี แต่ที่นี่กลับเต็มไปด้วยกิจกรรมกลางแจ้งที่ทำให้คุณได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศสบายๆ ของหมู่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นการตกปลา, ปั่นจักรยานชมเมือง, เล่นแพดเดิลบอร์ด, พายเรือคายัค, เดินป่า, ชมปลาแซลมอน, เก็บผลเบอร์รี่ หรือการขับรถเอทีวีก็เป็นที่นิยมเช่นกัน โดยคุณสามารถเช่ารถเอทีวีเพื่อขับชมรอบเมือง หรือจะลองล่องเรือไปตามชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือระยะทางเกือบ 18 กิโลเมตรเพื่อไปยังอ่าวจาคาลอฟ (Jakalof Bay) ก็ได้
แต่ถ้าคุณเป็นคนชอบส่องนกก็อย่าลืมพกกล้องส่องทางไกลมาด้วยล่ะ เพราะที่นี่มี นกอินทรีหัวล้าน ประมาณ 50 ตัว และนกชนิดอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน เช่น นกสเทลเรอสเจ, นกไพน์ซิสกิน, นกกางเขนและนกกระสาสีน้ำเงิน รวมถึงสัตว์ประเภทอื่นๆ อย่างนาก, แมวน้ำ, วาฬ, กวางมูส และหมีดำ ส่วนคนที่อยากสัมผัสวิถีชีวิตตามประวัติที่เล่ามาข้างต้น ในหมู่บ้านเองก็มีพิพิธภัณฑ์ ‘Seldovia Museum & Visitor Center’ ที่จะพาคุณย้อนอดีตไปดูวิถีชีวิต ประเพณี และวัฒนธรรมดั้งเดิมของชนพื้นเมืองซึ่งเปิดให้เข้าฟรีทุกวัน
อย่างที่บอกว่า Seldovia มีขนาดเล็กมากซะจนสามารถเดินชมเมืองเกือบทั้งหมดได้ในระยะเวลาสั้นๆ คุณสามารถเยี่ยมชมร้านค้า แกลลอรี่ ร้านอาหารได้บริเวณท่าเรือ พร้อมเดินชมทะเลไปตามทางเดินไม้เก่าที่ยังคงเหลือจากการพังทลายเพราะเหตุแผ่นดินไหว แต่ถ้าอยากลองเดินให้ไกลกว่านี้ยังมี Otterbahn เส้นทางเท้าเดินระยะทางเกือบ 2 กิโลเมตรจากตัวเมืองไปยังชายหาด Outside Beach จุดชมทัศนียภาพอันงดงามของอ่าวคาเชมัก แต่ระหว่างทางต้องระวังเจ็บตัวจากผลเบอร์รี่ตามทางที่มีพุ่มหนาและอาจถูกบาดจากหนามคมได้
เมื่อเดินขึ้นเนินเขาไปอีกเล็กน้อยจะพบโบสถ์คริสต์เตียนนิกายออร์โธด็อกซ์ ‘St. Nicholas Russian Orthodox Church’ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1891 นับได้ว่าเป็นโบราณสถานแห่งชาติแห่งหนึ่งใน Seldovia ซึ่งตามประวัติจริงๆ มิชชันนารีชาวรัสเซียได้เข้ามาเผยแพร่ศาสนาให้กับชาวอะลิวต์ (Aleut) ชนพื้นเมืองที่อาศัยในอลาสก้ามายาวนานแล้ว ไม่เพียงแค่การเผยแพร่ศาสนาแต่มิชชันนารีเองยังเรียนรู้ภาษาอะลิวต์และช่วยชาวอะลิวต์ในการบันทึกเรื่องราวด้วยภาษาของพวกเขาเอง ความเชื่อและค่านิยมดั้งเดิมของชาวอะลิวต์ผสมผสานเข้ากับคำสอนของนิกายออร์โธด็อกซ์ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้คนในหมู่บ้าน Seldovia ไม่ว่าจะเป็นการเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสและวันอีสเตอร์ รวมถึงการมีโบสถ์เป็นศูนย์รวมของชุมชนในวันหยุด
ถนนที่นี่แทบจะไม่มีทางลูกรังและรถยนต์วิ่งผ่านจึงเหมาะกับนักท่องเที่ยวสายปั่น (จักรยาน) ซึ่งสามารถนำจักรยานเข้ามาเองหรือเช่าจากร้านในเมืองก็ได้เช่นกัน มีเส้นทางยอดนิยมคือถนนเรียบชายฝั่งมุ่งหน้าสู่อ่าวจาคาลอฟระยะทาง 16 กิโลเมตร ระหว่างทางมีทิวทัศน์มุมกว้างของอ่าวคาเชมักและอ่าวจาคาลอฟคอยเป็นเพื่อนไปตลอดทาง นอกจากนี้ยังสามารถพบนกทะเล นกอินทรี นาก และสัตว์ทะเลอื่นๆ ที่พบได้ตามโขดหินช่วงน้ำลง ส่วนไฮไลท์คือการเฝ้าชมวาฬขณะที่อพยพในช่วงฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วง
หากวันเดียวยังเที่ยวไม่หนำใจยังสามารถเช่าเต็นท์ในราคา 10 เหรียญต่อคืน หรือรถบ้านในราคา 15 เหรียญต่อคืนสำหรับค้างแรม โดยที่นี่มีจุดกางเต็นท์ให้กับนักท่องเที่ยวบริเวณ RV Park และ Outside Beach พร้อมห้องน้ำสาธารณะและน้ำดื่มให้บริการ แต่ด้วยกฎหมายของ Seldovia เองไม่อนุญาตให้ตั้งแคมป์บริเวณเดิมได้เกิน 14 วัน หลังจากนั้นจะต้องเปลี่ยนบริเวณที่ตั้งแคมป์
เทศกาลดนตรี Seldovia Summer Solstice
คุณอาจจะไม่เชื่อว่าเมืองที่แสนเงียบสงบเช่นนี้จะมีเทศกาลดนตรีกับเขาด้วย แต่นี่ไม่ใช่เทศกาลดนตรีที่ตั้งเวทีและลำโพงขนาดใหญ่แบบที่หลายคนเข้าใจกันหรอกนะ เพราะเทศกาลดนตรีของที่นี่เป็นการรวมตัวกันของชาว Selvodia และชาวบ้านที่เดินทางมาจากเมืองโฮเมอร์เพื่อฟังเพลง เล่นเกม จัดกิจกรรมเวิร์คช็อป และทานอาหารร่วมกันในช่วงครีษมายัน (การที่ดวงอาทิตย์โคจรไปถึงจุดหยุดหรือจุดสุดทางเหนือในราววันที่ 20 มิถุนายน หรือ 21 มิถุนายน)
นอกจากชาวเมืองทั่วไปยังมีคนดังมาร่วมงานด้วย อย่างเทศกาลดนตรีในปีล่าสุดมีนักแสดงบรอดเวย์ Theresa Thompson และ Alaskan Super Saturated Sugar Strings ร่วมแสดงกับศิลปินอีกหลากหลายจากทั่วอลาสก้า ซึ่งส่วนมากมักจะจัดงานกันในหอประชุมของ Susan B. English School โรงเรียนประจำหมู่บ้าน
ชาวโฮเมอร์คนใดที่ต้องการเข้าร่วมเทศกาลดนตรีสามารถเดินทางมาโดยเครื่องบินสายการบิน Homer Air และ Smokey Bay Air หรือเดินทางโดยเรือเฟอร์รี่จากบริษัท Tustemena ซึ่งมักจะมีนักดนตรีโดยสารไปกลับจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีแท็กซี่น้ำให้บริการจากบริษัท Central Charters, Rainbow Tours, Mako’s Water Taxi และ Red Mountain Marine หรือหากต้องการนำเรือส่วนตัวมาก็สามารถนำไปจอดบริเวณท่าเรือของหมู่บ้านได้
ค่าเข้าชมการแสดงในวันศุกร์และวันเสาร์สำหรับผู้ใหญ่อยู่ที่ 30 เหรียญ ราคาเด็ก 10 เหรียญ และเวิร์คช็อปในวันเสาร์มีค่าเข้าร่วม 10 เหรียญ ราคาเด็ก 5 เหรียญ หรือสามารถซื้อบัตรเหมาในราคา 49 เหรียญ ราคาเด็ก 20 เหรียญเพื่อเข้าร่วมได้ทุกอย่างภายในงาน
ที่สำคัญสำหรับชาวโฮเมอร์หรือแม้แต่นักท่องเที่ยวเองที่ต้องการเดินทางมาพักที่หมู่บ้าน Seldovia จะต้องแน่ใจว่าคุณได้มองหาและจองที่พักเรียบร้อยแล้ว เพราะที่นี่มีโรงแรมเพียงแห่งเดียวเท่านั้นคือ ‘Seldovia Boardwalk Hotel’ พร้อมห้องพักวิวทะเลอีก 11 ห้องให้บริการตลอดทั้งปี เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางมาพักผ่อนในบรรยากาศเงียบสงบโดยมีธรรมชาติล้อมรอบ และยังมีบริการรถกอล์ฟและจักรยานให้เช่าสำหรับพาชมรอบเมืองพิเศษเฉพาะผู้ที่เข้าพักกับทางโรงแรมเท่านั้น
สำหรับคนที่ไม่สามารถจองห้องกับทางโรงแรมได้ก็ไม่ต้องเสียใจไป เพราะอย่างที่บอกว่า Seldovia มีให้บริการเช่าเต็นท์และรถบ้าน หรือจะลองพักในกระท่อมที่มีเฟอร์นิเจอร์ครบครัน อีกทั้งยังได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก หรือโอกาสในการได้ชมวาฬ นาก แมวน้ำ นกชายฝั่ง และนกอินทรี ช่วยให้ได้คุณผ่อนคลายกับความเงียบสงบในสถานที่ที่ไม่เหมือนใคร
ที่มาบทความ
อ่านบทความเกี่ยวกับการท่องเที่ยวอื่นๆต่อได้ที่ >>> https://www.patourlogy.com/blog/inspiration
สนใจทัวร์ส่วนตัว และโปรแกรมทัวร์ คลิ๊ก >>> https://www.patourlogy.com/ทริปทัวร์เดินทาง