หากพูดถึงวันหยุดยาวหน้าร้อนแล้วละก็ หลายคนคงวางแผนทริปท่องเที่ยวทะเลไว้ล่วงหน้า ไม่ว่าจะเป็นการล่องเรือสำราญสุดหรู การอาบแดดบนหาดทรายสีขาว หรือแม้แต่การดำน้ำชมแนวปะการัง หากว่าคุณเป็นหนึ่งในกำลังมองหาจุดหมายปลายทางที่สามารถทำกิจกรรมทั้งหมดนั้น
ในวันนี้ ทีมงานพาทัวร์โลจี้ของเราจะพาคุณไปรู้จักกับเกาะสวรรค์ในทะเลแคริบเบียน สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตติดลมบนของชาวยุโรปและอเมริกัน เกาะสวรรค์แห่งนี้มีชื่อว่า “มาร์ตีนีก (Martinique)” เพราะเหตุใดมาร์ตีนีกจึงครองใจผู้มาเยือนตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมานั้น เราจะหาคำตอบไปพร้อมๆ กัน
สารบัญของบทความ สนใจสิ่งใดไปอ่านสิ่งนั้นก่อนได้เลยนะครับ
รู้จักมาร์ตีนีก (Martinique) ประวัติศาสตร์การค้นพบ
มาร์ตีนีก (Martinique) เป็นเกาะขนาดเล็กที่มีพื้นที่เพียง 1 พันกว่าตารางกิโลเมตร เกาะนี้เป็นหนึ่งในหมู่เกาะวินเวิร์ด (Windward Islands) ในทะเลแคริบเบียน แม้จะเป็นแผ่นดินกลางมหาสมุทรแอตแลนติก ทว่ามาร์ตีนีกกลับถูกนับเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพยุโรปเนื่องจากมีสถานะเป็นจังหวัดโพ้นทะเล (Overseas Department) ของสาธารณรัฐฝรั่งเศส เช่นเดียวกับเกาะกวาเดอลูป (Guadeloupe) ที่เป็นดินแดนเพื่อนบ้าน และเกาะเรอูนียง (Réunion) ในมหาสมุทรอินเดีย (สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเรอูนียงได้ที่นี่)
ชาวยุโรปรู้จักมาร์ตีนีกเป็นครั้งแรกในค.ศ. 1493 เมื่อครั้งที่คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส นักสำรวจชาวอิตาเลียนเริ่มสำรวจหมู่เกาะแคริบเบียน ในคราวนั้นโคลัมบัสได้เผชิญหน้ากับชนพื้นเมืองบนเกาะหลายกลุ่มอันได้แก่ ชาวอะราวัก (Arawaks) ชาวคาลินาโก (Kalinagos) และชาวไทโน (Tainos)
โคลัมบัสจึงเรียกเกาะแห่งนี้ว่า “มาร์ตินีกา (Martinica)” ที่เพี้ยนมาจากชื่อในภาษาไทโนว่า “มาเดียนา (Madiana)” ที่มีความหมายว่า “เกาะแห่งบุปผานานาพรรณ”
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโคลัมบัสจะค้นพบเกาะนี้และประกาศให้เป็นดินแดนในปกครองของจักรวรรดิสเปน ทว่าพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 2 (Ferdinand II) และราชินีอิซาเบลลา (Isabella) แห่งสเปนกลับแทบไม่เหลียวพระเนตรมองเกาะน้อย กษัตริย์และขุนนางสเปนในขณะนั้นให้ความสนใจกับโลกใหม่ (New World) หรือทวีปอเมริกาที่มีสินแร่ล้ำค่าอย่างทองคำและเงินมากกว่าเกาะในทะเลแคริบเบียน
มาร์ตินีกาจึงถูกใช้เป็นจุดแวะพักของกองเรือเพื่อเติมน้ำจืดและเสบียงก่อนเดินทางต่อไปยังโลกใหม่
การเข้ามาของชาวฝรั่งเศส เปลี่ยนมือจากสเปนสู่เจ้าของใหม่
และในปีค.ศ. 1635 เมื่อ ปิแยร์ เบอแลง (Pierre Belain) พ่อค้าชาวฝรั่งเศสมาขึ้นฝั่งบนเกาะนี้เป็นครั้งแรก เบอแลงก็ได้ก่อตั้งชุมชนและสถานีการค้าที่ชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะ สถานที่แห่งนั้นจึงถูกเรียกในเวลาต่อมาว่า “แซงต์ ปิแยร์ (Saint – Pierre)” เพื่อเป็นเกียรติแก่ปิแยร์ เบอแลง
การมาถึงของเบอแลงและชาวฝรั่งเศสกว่า 150 คนส่งผลให้ชีวิตความเป็นอยู่ของชนพื้นเมืองเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ชาวฝรั่งเศสต่อสู้กับชนเผ่าต่างๆ และได้ชัยในเวลาอันสั้นด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ล้ำสมัย คนขาวบังคับใช้แรงงานคนท้องที่ รวมถึงขับไล่ให้พวกเขาหนีตายไปอยู่ตะวันออกสุดของเกาะ เบอแลงได้ประกาศให้เกาะมาร์ตินีกาเป็นดินแดนในปกครองของพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 (Louis XIII) กษัตริย์ฝรั่งเศสในขณะนั้น
เกาะนี้จึงถูกเรียกว่า “มาร์ตีนีก” ซึ่งเป็นการออกเสียงตามแบบฝรั่งเศส และนับแต่นั้นเป็นต้นมา มาร์ตีนีกก็มีสถานะเป็นอาณานิคมฝรั่งเศส และกลายมาเป็นหนึ่งในจังหวัดโพ้นทะเลของสาธารณรัฐที่ 5 ในปัจจุบัน
สถานที่ท่องเที่ยวบนเกาะมาร์ตีนีก (Martinique)
ชายหาดอองส์ นัวร์ (Anse Noir)
มาเที่ยวเกาะทั้งที หากไม่ได้ไปเดินเล่นชายหาดคงถือว่ามาไม่ถึง มาร์ตีนีกมีหาดทรายนับสิบให้นักท่องเที่ยวได้เลือกสรร ทว่าสิ่งที่ทำให้อองส์ นัวร์ หาดทรายทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะมีความพิเศษกว่าที่อื่นๆ เป็นเพราะเม็ดทรายสีดำราวกับนิล ชื่ออองส์ นัวร์มีความหมายในภาษาฝรั่งเศสว่า “อ่าวสีดำ”
เหตุผลที่ตั้งชื่อเช่นนั้นเป็นเพราะทรายบนหาดนี้กร่อนมาจากหินภูเขาไฟ เนื้อทรายจึงมีสีดำสนิทดังที่ได้กล่าวไปในข้างต้น นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปกับชายหาดดำที่มีพื้นหลังเป็นอ่าวน้ำใส ล้อมรอบด้วยทิวเขาและแมกไม้ ก่อเกิดเป็นทิวทัศน์ชวนหลงใหลที่ใครๆ ต่างติดใจไปตามกัน
ป้อมเดอเซซ์ (Fort Desaix)
เดอเซซ์ (Fort Desaix) เป็นป้อมโบราณที่สร้างขึ้นในปี 1768 ตั้งอยู่บนเนินเขามอร์น การ์นิเยร์ (Morne Garnier) ทางตะวันตกของเกาะ แรกเริ่มเดิมที ป้อมเดอเซซ์ถูกเรียกว่าป้อมบูร์บง (Bourbon Fort) ตามชื่อราชวงศ์ที่ปกครองฝรั่งเศสในขณะนั้น ป้อมบูร์บงถูกใช้เป็นปราการป้องกันฟอร์ต เดอ ฟรองซ์ (Fort – de – France) ศูนย์กลางการปกครองแห่งเกาะมาร์ตีนีก
จนกระทั่งในปี 1802 นโปเลียน โบนาปาร์ต (Napoleon Bonaparte) ผู้นำประเทศฝรั่งเศสได้เปลี่ยนชื่อปราการนี้เป็นป้อมเดอเซซ์ เพื่อเป็นเกียรติกับนายพลหลุยส์ เดอเซซ์ (General Louis Desaix) รัฐบุรุษนักปฏิวัติที่เสียชีวิตในสนามรบ
ปัจจุบันป้อมเดอเซซ์ยังคงถูกใช้งานเป็นฐานทัพเรือฝรั่งเศสเช่นเดียวกับในอดีต ทว่าป้อมดังกล่าวเปิดให้คนทั่วไปเข้าชมได้ทุกวัน เดอเซซ์โดดเด่นด้วยรูปแบบการวางผังปราการแบบโวบอง (Vauban Fort) ซึ่งมีมุขป้อม (Bastion) ที่ใช้วางปืนใหญ่ซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ เพื่อป้องกันจุดต่างๆ ของปราการ ถือเป็นสถานที่สำคัญที่ผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์การทหารไม่ควรพลาด
สวนบาลาตา (Balata Garden)
บาลาตา (Balata) เป็นสวนพฤกศาสตร์ตั้งอยู่ไม่ไกลจากฟอร์ต เดอ ฟรองซ์ เมืองหลวงของมาร์ตีนีก สวนแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในปี 1982 โดยฌอง – ฟิลิป โตซ (Jean – Philippe Thoze) เกษตรกรท้องถิ่นชาวมาร์ตีนีก โตซอนุญาตให้คนนอกเข้าชมสวนส่วนตัวตั้งแต่ปี 1986 เป็นต้นมาโดยมีค่าเข้าชม
สวนบาลาตาเป็นศูนย์รวมพันธุ์ไม้เมืองร้อนกว่า 3 พันชนิด รวมไปถึงสวมปาล์มขนาดใหญ่ที่แยกย่อยออกไปกว่า 300 ประเภท นอกจากไม้ดอกไม้ประดับแล้ว เจ้าของสวนยังสร้างอาคารสถาปัตยกรรมครีโอล (Creole Architecture) แบบดั้งเดิมขึ้นกลางหมู่แมกไม้เพื่อระลึกถึงวัยเยาว์ของตนในมาร์ตีนีก นักท่องเที่ยวจึงนิยมมาถ่ายรูปคู่กับสวนสวยและสิ่งปลูกสร้างสไตล์วินเทจ ณ สวนพฤกศาสตร์แห่งนี้
ภูเขาไฟเปอเล (Mount Pelée)
เช่นเดียวกับหมู่เกาะแคริบเบียนทั้งหลาย มาร์ตีนีกเองก็มีภูเขาไฟที่ยังไม่ดับอยู่บนเกาะเช่นกัน ภูเขานี้มีชื่อว่า “เปอเล” ซึ่งมีความหมายคล้ายกับคำว่า “เขาหัวโล้น” ในภาษาไทยเรา เหตุที่เรียกเช่นนั้นเป็นเพราะยอดของภูเขาไม่มีต้นไม้ขึ้นปกคลุม ทำให้เห็นเพียงหินผาสีเข้มเท่านั้น
ภูเขานี้ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะ แม้จะเคยเกิดการปะทุหลายครั้งในอดีต แต่ภูเขาไฟก็นำมาซึ่งดินดำอุดมสมบูรณ์ที่ชาวเกาะใช้เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจที่ให้กำไรงาม
ปัจจุบันเปอเลเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักปีนเขาทั่วโลก ภูเขานี้เต็มไปด้วยเส้นทางท่องเที่ยวธรรมชาติที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น เส้นทางกรองด์ ซาวาน (Grande – Savane Route) ที่ลัดเลาะแนวชายฝั่งทะเลแคริบเบียน หรือ เส้นทางกรองด์ ริวิแยร์ (Grand – Rivière Route) ที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ช่องแคบโดมินิกา (Dominica Channel)
อย่างไรก็ตาม การปีนเขาและเดินป่ารอบภูเขาไฟเปอเลจำเป็นต้องมีผู้นำชมท้องถิ่นชำนาญทางติดตามไปด้วยเสมอ เนื่องจากเส้นทางบางจุดเป็นหินผาสูงชันอันตราย รวมถึงชะง่อนผาที่อาจพลัดตกลงไปได้โดยง่าย นักท่องเที่ยวควรเตรียมตัวให้พร้อมเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดระหว่างทริป
กิจกรรมอื่นๆ ที่ควรทำในมาร์ตีนีก
นอกจากการเล่นน้ำทะเล ปีนเขา และเที่ยวชมโบราณสถานตามที่ได้กล่าวไป ยังมีกิจกรรมอื่นๆ ให้ทำอีกมากมายในมาร์ตีนีก เกาะแห่งนี้เป็นสถานที่ยอดฮิตในหมู่นักดำน้ำ ชายฝั่งมาร์ตีนีกเต็มไปด้วยสัตว์น้ำนานาพันธุ์ และยังมีแหล่งเรือจมให้นักประดาน้ำได้สำรวจขุมสมบัติ จุดดำน้ำที่มีชื่อเสียงได้แก่ อองส์ดาร์เลต์ (Anses d’Arlet) ที่มี ซากเรือนาฮูน (Nahoon Shipwreck) ให้ได้ดำชม ปวงต์ บูร์โกส (Pointe Burgos Reef) แนวปะการังหลากสีใต้ท้องทะเล และ อ่าวแซงต์ปิแยร์ (Saint – Pierre Bay) แหล่งรวมสัตว์น้ำหายาก เป็นต้น
อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้มาเยือนเกาะสวรรค์ห้ามพลาดเลยก็คือ อาหารสไตล์แคริบเบียนที่มีส่วนประกอบของซีฟู้ดและพืชพื้นถิ่นอย่างถั่ว ธัญพืช และหัวกลอย อาหารขึ้นชื่อของมาร์ตีนีได้แก่ รากูต์ เดอ ชาตรู (Ragoût de Chatrou) ปลาหมึกทอดปรุงรสทานคู่กับข้าวสวยหรือถั่วต้ม ลัมบีส (Lambis) หอยหวานย่างจิ้มซอสพริกสูตรเด็ด และ มาตูตู เดอ กราบ (Matoutou de Crabe) สตูว์ปูทะเลที่นิยมปรุงในงานเฉลิมฉลอง ชวนให้คุณมาลิ้มลองในมาร์ตีนีก
เป็นอย่างไรบ้างกับเกาะมาร์ตีนีก สรวงสวรรค์แห่งทะเลแคริบเบียน นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมต่างๆ ที่กล่าวไป เกาะแห่งนี้ยังมีสิ่งน่าสนใจมากมายรอให้คุณมาสัมผัส และหากใครสนใจไปเยือนเกาะมาร์ตีนีกในวันหยุดฤดูร้อนแล้วละก็ ติดต่อเราได้ที่ www.patourlogy.com ให้เราได้เป็นส่วนหนึ่งในการออกแบบทริปในฝันไม่ซ้ำใครตามสไตล์ที่ใช่ของคุณ
อ้างอิง
- La Martinique. There’s only one Martinique. (2018). [Online]. Accessed 2022 April 11. Available from: https://us.martinique.org/
- Mount Pelée. Hiking Around The Mount Pelée. (2014). [Online]. Accessed 2022 April 11. Available from: https://www.montagne-pelee.com/en/Hiking.html
- Tripsavvy. Your Trip to Martinique: the complete guide. (2022). [Online]. Accessed 2022 April 11. Available from: https://www.tripsavvy.com/your-trip-to-martinique-complete-guide-5090490
- Tourcrib. Anse Noire… An extraordinary beach!. (2022). [Online]. Accessed 2022 April 11. Available from: https://tourcrib.com/en/martinique/beaches/anse-noire