ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าชาวโลกและชาวไทยเปิดใจรับความแตกต่างในแต่ละบุคคลมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องรสนิยมทางเพศ ปัจจุบันกลุ่ม LGBTQ+ หรือกลุ่มคนที่แสดงออกถึงความหลากหลายทางเพศมีสถานะเท่าเทียมกับชายหญิงในทุกด้าน สังคมที่เปิดกว้างทำให้คนเหล่านี้สามารถแสดงศักยภาพด้านต่างๆ ที่ซ่อนไว้ในตัวโดยไม่ถูกปิดกั้น
และเพื่อเป็นการสนับสนุนความเท่าเทียมของมนุษย์ทุกคน วันนี้ ทีมงานพาทัวร์โลจี้จึงจะมาแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับชาวเลสเบี้ยน (Lesbian) หรือผู้หญิงที่มีความรักต่อผู้หญิงด้วยกันโดยเฉพาะ สถานที่แห่งนี้มีชื่อว่า เกาะเลสบอส (Lesbos Island) ซึ่งจะมีความเกี่ยวข้องกับหญิงรักหญิงอย่างไรนั้น เราจะมาหาคำตอบไปพร้อมกัน
เกาะเลสบอส (Lesbos island) อยู่ที่ใด
เลสบอส (Lesbos) เป็นเกาะขนาดใหญ่ในประเทศกรีซ ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของทะเลอีเจียน (Aegean Sea) ชาวกรีกเรียกเกาะนี้ว่า ไมติลินี (Mytilene) ซึ่งเป็นชื่อในภาษาท้องถิ่น ทว่าชาวโลกกลับเรียกเกาะนี้อย่างติดปากว่าเลสบอสที่มีความหมายว่า “เต็มไปด้วยป่า” ในภาษากรีกโบราณ
หลายคนคงร้องอ๋อเมื่ออ่านมาจนถึงตอนนี้ ชื่อ “เลสบอส” พ้องเสียงกับคำว่า “เลสเบี้ยน” อย่างเห็นได้ชัด สิ่งนี้ไม่ใช่ความบังเอิญแต่อย่างใด เลสเบี้ยนเป็นคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ประดิษฐ์ขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยอิงจากคำว่าเลสบอสนี้เอง
เหตุผลที่เลสบอสกลายเป็นที่มาของศัพท์เรียกกลุ่มหญิงรักหญิงเนื่องจากเกาะนี้เป็นบ้านเกิดของ แซฟโฟ (Sappho) กวีหญิงกรีกโบราณที่มีชีวิตในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล แซฟโฟมีชื่อเสียงจากบทกวีที่เกี่ยวข้องกับความรักและความปรารถนาในเพศเดียวกัน สตรีผู้นี้จึงถูกกล่าวขานว่าเป็นกวีหญิงรักหญิงคนแรกของโลกและนักสตรีนิยมยุคโบราณมาจนถึงทุกวันนี้
เกาะเลสบอส (Lesbos island) มีอะไรให้มาเที่ยว
อย่างไรก็ดี เลสบอสไม่ได้มีชื่อเสียงเพียงเพราะเป็นจุดแวะพักยอดนิยมของกลุ่มเลสเบี้ยนเท่านั้น เกาะนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ โบราณสถาน และอาหารท้องถิ่นที่ขึ้นชื่อ เช่นเดียวกับเกาะอื่นๆ ในทะเลอีเจียน เกาะเลสบอสถูกล้อมรอบด้วยทะเลสีฟ้าใสและหาดทรายเนื้อละเอียด
ชายหาดที่ห้ามพลาด
ชายหาดที่มีชื่อเสียงได้แก่ ชายหาดเพตรา (Petra Beach) ชายหาดกาโล ลิมานี (Kalo Limani Beach) ชายหาดแกมปอส (Kampos Beach) และชายหาดแอมเปเลีย (Ampelia Beach) ชายหาดส่วนใหญ่ในเลสบอสถูกล้อมรอบด้วยภูเขาหินและป่าโปร่ง เกิดเป็นทิวทัศน์งดงามชวนตะลึง
นักท่องเที่ยวนิยมมาชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกพร้อมกับจิบอูโซ โพลมารี (Ouzo Plomari) เครื่องดื่มเรียกน้ำย่อยชื่อดังแห่งเกาะเลสบอสแกล้มกับผลมะกอกสด เรียกว่าเป็นกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนเกาะนี้
ชมหมู่บ้านริมทะเล
นอกจากกิจกรรมทางน้ำและการอาบแดดบนหาดทรายแล้ว นักท่องเที่ยวยังนิยมเดินเลียบชายหาดเพื่อเยี่ยมชมหมู่บ้านใกล้ๆ หมู่บ้านในเลสบอสเปี่ยมไปด้วยมนตร์ขลังเหนือกาลเวลา อาคารบ้านเรือนก่อด้วยอิฐสีสันสดใสตั้งเรียงรายสลับกันบนเนินเขา เกิดเป็นตรอกซอกซอยสวยงาม เหมาะแก่การถ่ายรูปวินเทจเป็นอย่างยิ่ง
เลสบอสมีถนนคนเดินที่ขึ้นชื่อคือ ถนนโมไลวอส (Molyvos Street) ที่ผู้คนนิยมมากินดื่มยามค่ำ ถนนสายนี้เต็มไปด้วยผับ บาร์ และคาเฟ่รอต้อนรับนักท่องเที่ยว ชาวเกาะเลสบอสขึ้นชื่อเรื่องความเป็นมิตรกว่าผู้ใด
หากใครได้มาเยือนเกาะสวรรค์กลางทะเลอีเจียนแล้วละก็ อย่าลืมทักทายคนท้องถิ่นด้วยคำง่ายๆ อย่าง ยาห์ซู (Yahsoo) ที่มีความหมายว่าสวัสดี เชื่อได้เลยว่าสหายชาวกรีกของคุณจะยิ้มรับด้วยความยินดี และอาจชวนคุณเข้ามาดื่มสังสรรค์หรือทานมื้อค่ำที่บ้านของพวกเขาอีกด้วย
แช่บ่อน้ำร้อนในตำนาน
อีกหนึ่งไฮไลต์ในการเที่ยวชมธรรมชาติบนเกาะเลสบอสคือบ่อน้ำพุร้อน เกาะนี้มีภูเขาด้วยกัน 2 ลูก ได้แก่ภูเขาเลเปติมนอส (Mount Lepetymnos) และภูเขาโอลิมปัส (Mount Olympus) ภูเขาทั้งสองลูกเป็นภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ ก่อให้เกิดตาน้ำพุร้อนใต้ดินมากมาย
คนท้องถิ่นมีตำนานเล่าขานสืบต่อมาว่า น้ำพุร้อนในเลสบอสเป็นของขวัญจาก เฮเฟสตัส (Hephaestus) เทพเจ้าแห่งไฟและการช่างในตำนานกรีกโบราณ ด้วยเหตุนี้บ่อน้ำร้อนบนเกาะจึงมีสรรพคุณในการรักษาและช่วยฟื้นฟูกำลังวังชาได้เป็นอย่างดี ถ้าคุณมีโอกาสมาเยือนที่แห่งนี้ อย่าลืมแวะแช่บ่อน้ำร้อนกลางแจ้งและชื่นชมธรรมชาติของหุบเขาและท้องทะเลในเวลาเดียวกัน
ท่องไปในโลกแห่งประวัติศาสตร์
สิ่งหนึ่งที่พลาดไม่ได้หากได้มาเยือนประเทศกรีซคือการเที่ยวชมโบราณสถาน เลสบอสเองก็มีสิ่งปลูกสร้างโบราณที่ยืนยงเหนือกาลเวลามากมาย โบราณสถานที่โดดเด่นที่สุดบนเกาะคงจะเป็นที่ใดไม่ได้นอกจาก
ปราการไมติลินี (Fortress of Mythilene) ปราการหินขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 6 โดยคำสั่งของจักรพรรดิจัสติเนียนที่ 1 (Justinian I) แห่งจักรวรรดิโรมันตะวันออก (Eastern Roman Empire) หรือไบแซนไทน์ (Byzantine)
ปราการไมติลินีเป็นหนึ่งในสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะทะเลอีเจียน ป้อมดังกล่าวทอดยาวตามแนวเขาสูงชันบนเกาะ รายรอบด้วยสิ่งปลูกสร้างโบราณที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของอะโครโปลิส (Acropolis) หรือชุมชนที่อยู่อาศัยของชนชั้นสูงในสมัยกรีก – โรมัน
แรกเริ่มเดิมที ผู้แทนองค์จักรพรรดิสร้างปราการเพื่อเป็นศูนย์กลางบัญชาการทหารและปกครองเกาะ ทว่าหลังจากจักรวรรดิโรมันตะวันออกล่มสลายในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ปราการไมติลินีก็ถูกใช้งานต่อมาในฐานะที่อยู่อาศัยของผู้ปกครองและชนชั้นสูง ป้อมโบราณได้ถูกปรับปรุงต่อเติมหลังจากนั้น ปราการจึงถูกเรียกในสมัยต่อมาว่าปราสาทไมติลินี (Castle of Mythilene)
ปราสาทแห่งนี้ที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างไบแซนไทน์และออตโตมัน (Ottoman) อย่างลงตัว นอกจากตัวป้อมปราการแล้ว นักท่องเที่ยวยังนิยมเดินชมโบราณสถานโดยรอบ ไม่ว่าจะเป็นเทวาลัยอพอลโล (Temple of Apollo) เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ เทวาลัยเทพีดีมิเตอร์ (Sanctuary of Demeter) เทพีแห่งพืชพรรณธัญญาหารในตำนานกรีกโบราณ เป็นต้น เรียกได้ว่าหากใครเป็นสายประวัติศาสตร์ ต้องไม่พลาดใส่ชุดกรุยกรายมาถ่ายรูปย้อนเวลาที่ปราการแห่งนี้
ลิ้มรสอาหารท้องถิ่น
กิจกรรมสุดท้ายที่เชื่อว่าใครหลายคนต่างเฝ้ารอคืออาหารท้องถิ่นอันเลื่องชื่อ นอกจาก อูโซ โพลมารี เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีฐานการผลิตอยู่บนเกาะเลสบอสแล้ว เกาะนี้ยังมีชื่อเสียงเรื่องอาหารและขนมหวานรสชาติดี นักท่องเที่ยวนิยมไปฝากท้องที่ร้านอาหารริมชายหาดเพตราที่ดูแลโดยสมาพันธ์สตรีแห่งเพตรา (The Women’s Cooperative of Petra) ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มกันของผู้หญิงบนเกาะเพื่อหารายได้มาจุนเจือตนเองและครอบครัว
และเนื่องจากเป็นเกาะกลางทะเล อาหารจานเด็ดจึงหนีไม่พ้นเมนูซีฟู้ดที่ทำจากวัตถุดิบท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นปลาซาร์ดีน แอนโชวี หอยตลับ กุ้ง ปู และปลาหมึก นิยมปรุงกับน้ำมันมะกอกที่สกัดกันในครัวเรือน นอกจากเมนูซีฟู้ดแล้ว เลสบอสยังมีอาหารท้องถิ่นที่ขึ้นชื่ออีกหลายเมนู ได้แก่ ซูกาเนีย (Sougania) หัวหอมยัดไส้ใบองุ่นและเนื้อสับ กิอูซเลเมเดส (Giouzlemedes) ขนมปังยัดไส้เนยแข็งที่มีลักษณะคล้ายเครปหรือแพนเค้ก สฟูฟกาโต (Sfoufgato) ออมเล็ตผสมสมุนไพรและเครื่องเทศแบบกรีก เป็นต้น
และหลังจากอาหารมื้อหลัก สิ่งที่ขาดไม่ได้คือของหวานรสละมุนที่จะทำให้คุณต้องร้องว้าว หลายคนอาจแปลกใจที่ของหวานขึ้นชื่อของเลสบอสคือ บาคลาวา (Baklava) ขนมสัญชาติอาหรับที่ทำจากถั่วพิชตาชิโอและแป้งแผ่นบางเชื่อมติดกันด้วยน้ำผึ้ง สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าในอดีต เลสบอสเคยอยู่ใต้การปกครองของจักรวรรดิออตโตมันที่มีศูนย์กลางในประเทศตุรกีในปัจจุบัน ชาวเกาะจึงสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมที่ได้รับจากแผ่นดินเอเชียมาผสมผสานกับวิถีชีวิตของตนอย่างลงตัว
บทสรุป
เป็นอย่างไรกันบ้างกับเกาะเลสบอส สรวงสวรรค์กลางทะเลอีเจียน หากอ่านมาจนถึงตอนนี้ เชื่อว่าใครหลายคนคงอยากแพ็คกระเป๋าเที่ยวเลสบอสไปตามๆ กัน เช่นเดียวกับเกาะอื่นๆ ในประเทศกรีซ เลสบอสเองก็มีอากาศอบอุ่นตลอดปี นักท่องเที่ยวจึงสามารถมาเยือนเกาะได้ทุกช่วงเวลาที่ต้องการ
แต่หากใครอยากมาชมธรรมชาติในช่วงเวลาที่งดงามที่สุดในรอบปีละก็ แนะนำให้มาเยือนเลสบอสในฤดูท่องเที่ยว ระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนกรกฎาคม นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสอากาศอุ่นสบายและดอกไม้บานสะพรั่งในช่วงเวลาดังกล่าว
และหากใครต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเกาะเลสบอส สามารถติดต่อเราได้ที่ www.patourlogy.com เพื่อให้เราได้วางแผนทริปวันหยุดสุดสนุกให้กับคุณ
อ้างอิง
- Liska, Petr. The most beautiful beaches of Lesbos. (2021). [Online]. Accessed 2022 March 20. Available from: https://www.gigaplaces.com/en/gigalist-the-most-beautiful-beaches-of-lesbos/
- Theodoraki, Chrisa. The Best Things to See & Do in Lesbos. (2021). [Online]. Accessed 2022 March 20. Available from: https://theculturetrip.com/europe/greece/articles/the-top-10-things-to-do-and-see-in-lesbos/
- Visit Greece. Cuisine of Lesvos. (2022). [Online]. Accessed 2022 March 20. Available from: https://www.visitgreece.gr/experiences/gastronomy/traditional-cuisine/cuisine-of-lesvos/Nordic Co-operation. Facts about the Nordic countries. (2018). [Online]. Accessed 2022 February