ทะเลทรายแห่งนามิเบียอันกว้างใหญ่ไพศาล สวยงาม และแสนโรแมนติก ภาพที่มักปรากฎให้เห็นคือ เนินทรายสีเหลืองอมส้ม และท้องฟ้าสีฟ้าสดใส ซึ่งได้สร้างฉากหลังอันงดงามให้กับภาพยนตร์ระดับบ็อกซ์ออฟฟิศหลากหลายเรื่อง
นามิเบีย ดินแดนแอฟริกาใต้ตะวันตก
นามิเบีย (Namibia) มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐนามิเบีย อยู่บนชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปแอฟริกา มีพรมแดนทางตอนใต้จรดกับประเทศแอฟริกาใต้ มีสภาพภูมิประเทศแห้งแล้ง แต่ในความแห้งแล้งนั้นกลับซ่อนทัศนียภาพที่งดงามมาก นับตั้งแต่ทะเลทราย ภูเขา หุบเขา และทุ่งหญ้าสะวันนา
อย่างไรก็ดี นามิเบียได้แบ่งเขตภูมิประเทศหลักจากทิศตะวันตกไปตะวันออกเป็น 3 เขตคือ เขตชายฝั่งทะเลจรดทะเลทรายนามิบ เขตที่ราบสูงตอนกลาง และเขตคาลาฮารี
สำหรับนามิบเป็นเนินทรายบางส่วนกับทะเลทรายทางตอนกลาง เป็นสภาพแวดล้อมที่เปราะบางและไม่เหมาะสำหรับงานเกษตรกรรม ทะเลทรายนามิบมีความกว้าง 50 ถึง 80 ไมล์ตลอดความยาวไปทางทิศเหนือจนถึงภูเขาเกาโกเวลด์
ส่วนที่ราบสูงตอนกลางนั้นมีระดับความสูงแตกต่างกันไปตั้งแต่ 3,200 ถึง 6,500 ฟุต (975 ถึง 1,980 เมตร) เป็นพื้นที่หลักของภาคเกษตรกรรมในนามิเบีย พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทุ่งหญ้าสะวันนาและป่าละเมาะ สลับกับเนินเขา ภูเขา หุบเหว และแอ่งเกลือ
ในขณะที่ทางทิศตะวันออก จะค่อยๆ ลาดลง และทุ่งหญ้าสะวันนารวมเข้ากับคาลาฮารี ที่มีดินแข็งและหินภายใต้ทราย
ทะเลทรายนามิบ โลเคชั่นตระการสำหรับภาพยนตร์
ทะเลทรายนามิบ (Namib desert) ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกของประเทศนามิเบีย มีความยาวประมาณ 2,000 กิโลเมตร มีช่วงความกว้างตั้งแต่ 10-160 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 50,000 ตารางกิโลเมตร เป็นหนึ่งในทะเลทรายที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดของโลก โดยคาดว่ามีอายุอย่างน้อย 55 ล้านปี
สภาพโดยทั่วไปเวิ้งว้างและเต็มไปด้วยหมอก ทะเลทรายนามิบนั้นถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนโดยแม่น้ำควีเซบซึ่งไหลลงสู่มหาสมุทรแอตแลนติกที่อ่าววอลวิส ทะเลทรายนามิบทางตอนเหนือเป็นที่ราบกรวดหินชายฝั่งทางทิศตะวันตกได้ชื่อว่า “ชายฝั่งโครงกระดูก” (Skeleton Coast) เพราะในอดีตมีทั้งเรือและคนขึ้นฝั่งมาล้มตายมากมาย ทะเลทรายนามิบทางตอนใต้เป็นทะเลทรายอันกว้างใหญ่ มีเนินทรายสลับร่องกว้างเป็นแนวยาวสม่ำเสมอ
ทะเลทรายนามิบแห่งนี้เองได้กลายเป็นโลเคชั่นอันงดงามให้กับภาพยนตร์หลากหลายเรื่อง ลองมาดูภาพยนตร์ที่ดีที่สุดที่ถ่ายทำบนผืนทรายที่สวยงามของแอฟริกาตะวันออกเฉียงใต้
2001: A Space Odyssey (1968)
ภาพยนตร์จากนิยายวิทยาศาสตร์เรื่องนี้ใช้ชื่อในภาษาไทยว่า “2001 จอมจักรวาล” สร้างขึ้นโดยสแตนลีย์ คูบริก แม้ว่าจะผ่านมามากกว่า 50 ปี แต่ก็ยังคงได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดเท่าที่เคยมีมา ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ 4 สาขา ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นรางวัลสาขาวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์
ต่อมาในปี 1991 ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล National Film Registry ของสหรัฐอเมริกาอีกด้วย แม้ว่าภาพยนตร์ส่วนใหญ่จะถ่ายทำในสตูดิโอการผลิตของอังกฤษ แต่ฉากเปิดตัวในแอฟริกาในยุค Cenozoic (เป็นมหายุคสุดท้าย ซึ่งชื่อนี้หมายถึง “ชีวิตใหม่” โดยนับช่วงเวลาตั้งแต่ 66 ล้านปีก่อนถึงปัจจุบัน เป็นมหายุคที่เริ่มมีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม) ได้นำเสนอภาพอันน่าทึ่งของเส้นขอบฟ้าอันร้อนแรงของนามิเบียที่มีแสงแดดสาดส่อง
A Far Off Place (1993)
ภาพยนตร์นำเสนอเรื่องราวที่สวยงามของความแข็งแกร่งและความสามัคคี A Far Off Place ติดตามผู้รอดชีวิตสองคนจากการโจมตีที่โหดเหี้ยมด้วยน้ำมือของนักล่าในฟาร์มโดดเดี่ยวของทุ่งหญ้าสะวันนา
ในฐานะพยานเพียงคนเดียวของการสังหารหมู่ นอนนี่ (รีส วิทเทอร์สปูน) และแฮร์รี่ (อีธาน แรนดอลล์) ต้องหนีเอาชีวิตรอด แต่วิธีรอดทางเดียวของพวกเขาคือการเดินเท้าข้ามทะเลทรายแอฟริกา ซึ่งใช้ทะเลทรายนามิบในการถ่ายทำ การเดินข้ามผืนทรายที่แห้งแล้งซึ่งดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุดนั้นเป็นทางเลือกเดียว และนี่อาจเป็นการทดสอบความอดทนขั้นสุดของมนุษย์
Beyond Borders (2003)
ชื่อภาษาไทยของภาพยนตร์เรื่องนี้คือ “ข้ามเส้นขอบฟ้า ตามหารัก” นอกเหนือจากการถ่ายทำในประเทศแคนาดาและไทยแล้ว ยังมีทะเลทรายนามิบที่ใช้เป็นสถานที่เสมือนของประเทศเอธิโอเปียตามท้องเรื่อง
Beyond Borders เป็นภาพยนตร์สะเทือนอารมณ์ที่บอกเล่าเรื่องราวของซาร่าห์ จอร์แดน (แองเจลินา โจลี) นักสังคมสงเคราะห์ชาวอเมริกันที่ไร้เดียงสา ซึ่งได้รับรู้ชะตากรรมของมนุษย์ที่ยากจนหลังจากพบกัน ดร.นิค คัลลาฮาน (คลิฟ โอเว่น) เจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรม เธอละทิ้งชีวิตที่สะดวกสบายของเธอในลอนดอนเพื่อเข้าร่วมกับคัลลาฮานในค่ายผู้ลี้ภัยที่ประเทศเอธิโอเปีย
Beyond Borders เน้นให้เห็นถึงการแบ่งแยกระหว่างความมั่งคั่งกับความยากจน การพัฒนากับความล้าหลัง
The Young Black Stalion (2003)
ในปี 2003 ดิสนีย์ได้เปิดตัวภาพยนตร์ครอบครัวที่ผลิตขึ้นโดยเฉพาะสำหรับโรงภาพยนตร์ IMAX ในชื่อภาษาไทยคือ “อาชาเพื่อนยาก” ด้วยภาพมุมกว้างอันน่าทึ่ง ทำให้สามารถชื่นชมทะเลทรายนามิบและแอฟริกาใต้ที่ถ่ายทำได้อย่างเต็มที่
ภาพยนตร์บอกเล่าเรื่องราวของ Shetan ม้าตัวผู้สีดำซึ่งเป็นที่มาของชื่อภาพยนตร์เรื่องนี้ ช่วยชีวิตและผูกมิตรกับ Neera เด็กสาวชาวอาหรับที่พบว่าตัวเองอยู่ตามลำพังในทะเลทรายหลังจากแยกตัวจากพ่อของเธอ
Flight of the Phoenix (2004)
“เหินฟ้าแหวกวิกฤติระอุ” เป็นชื่อภาษาไทยของภาพยนตร์เรื่องนี้ ถึงแม้เรื่องจะดำเนินไปในทะเลทรายโกบีของเอเชีย แต่ผู้กำกับจอห์น มัวร์ เลือกนามิเบียให้เป็นสถานที่สำหรับถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ นำแสดงโดยเดนนิส เควด และจิโอวานนี่ ริบิซี่
ภาพยนตร์เรื่องนี้ติดตามกลุ่มผู้รอดชีวิตจากเครื่องบินตกที่ต้องสร้างเครื่องบินใหม่จากซากปรักหักพังเพื่อหลบหนี แม้ว่าจะไม่ได้รับการตอบรับจากนักวิจารณ์ แต่เนินทรายสีเหลืองซีดและท้องฟ้าที่มืดครึ้มของนามิเบียสร้างบรรยากาศที่น่าพึงพอใจอย่างแน่นอน
10,000 BC (2008)
ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายในไทยภายใต้ชื่อ “บุกอาณาจักรโลก 10,000 ปี” ว่ากันว่า ความแห้งแล้งของโลกยุคก่อนอารยธรรมนั้นแทบจะไม่ต่างไปจากช่วงเวลาหลังวันสิ้นโลก นี่จึงเป็นสาเหตุให้ทะเลทรายนามิบอันกว้างใหญ่กลายมาเป็นสถานที่สำหรับมหากาพย์ก่อนประวัติศาสตร์ของภาพยนตร์โดยโรแลนด์ เอ็มเมอริช
ภาพยนตร์เรื่อง 10,000 BC นี้บอกเล่าเรื่องราวเมื่อกองทัพลึกลับบุกโจมตีหมู่บ้าน แล้วลักพาตัวสมาชิกชนเผ่าหลายคนรวมถึงเอโวเล็ท (คามิลลา เบล) คนรักของดี’เลห์ (สตีเวน สเตรท) นักล่าแมมมอธรุ่นเยาว์ ส่งผลให้เขาจะต้องนำกลุ่มคนที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ข้ามภูมิประเทศที่ไม่คุ้นเคยเป็นระยะทางยาวไกลเพื่อทวงคืน
ภาพยนตร์เรื่องนี้จำเป็นต้องใช้เทคนิคพิเศษเพื่อสร้างเสือเขี้ยวดาบที่ชนเผ่าต้องป้องกัน แต่ฉากหลังอันน่าทึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้คงไม่พ้นเนินทรายนามิบที่สวยงาม
Samsara (2011)
ภาพยนตร์เรื่องนี้มีชื่อในภาษาไทยว่า “รักร้อนแผ่นดินต้องจำ” ในปี 2011 รอน ฟริกค์ และมาร์ค มากิดสัน ได้ร่วมมือกันเปิดโครงการถ่ายทำภาพยนตร์ “Samsara” ซึ่งเป็นสารคดีที่น่าทึ่ง โดยมีที่มาจากคำในศาสนาพุทธที่หมายถึง “วัฏจักรของการดำรงอยู่”
ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอภาพชีวิตที่เจ็บปวด ระทึกขวัญ น่าเบื่อหน่าย และอัศจรรย์ อย่างที่เกิดขึ้นของมนุษย์ทั่วโลก โดยบันทึกประสบการณ์ของมนุษย์ จากอียิปต์ ไปจนถึงฮ่องกง อิตาลี สหรัฐอเมริกา และบนเนินทรายอันน่าเกรงขามของทะเลทรายนามิบ
Mad Max: Fury Road (2015)
ภาพยนตร์เรื่องนี้มีชื่อในภาษาไทยว่า “แมดแมกซ์ ถนนโลกันตร์” ภูมิทัศน์ทะเลทรายที่รกร้างแต่สวยงามของนามิเบียทำให้เกิดฉากของดิส โทเปีย ในอุดมคติ สำหรับภาคล่าสุดในเรื่อง Mad Max ของจอร์จ มิลเลอร์ กับโลกหลังวันสิ้นโลก แม็กซ์ (ทอม ฮาร์ดี้) พร้อมด้วยสหายของเขา ฟูริโอซ่า (ชาร์ลิซ เธอรอน) และกลุ่มเพื่อนผู้ลี้ภัยของเธอรวมตัวกันเพื่อเอาชนะขุนศึกผู้โหดเหี้ยมที่ไล่ตามกบฏที่หลบหนีไปทั่วเนินทรายที่แผดเผาในภาพยนตร์เรื่องนี้
นอกเหนือจากภาพยนตร์ระดับบ็อกซ์ออฟฟิศแล้ว แต่ผู้ชมทั่วโลกอาจเคยได้เห็นนามิเบียบนหน้าจอมาก่อนแล้ว ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ป่าทางโทรทัศน์ เดวิด แอทเทนโบโรห์ ได้สร้างภาพยนตร์มากมายเกี่ยวกับทั้งสัตว์และภูมิประเทศของประเทศนี้
นามิเบียเป็นประเทศที่มีทิวทัศน์ที่น่าทึ่งที่สุดในโลก การที่มีปริมาณน้ำฝนเพียงน้อยนิด กลับช่วยสร้างภูมิประเทศที่แห้งแล้ง และดูเหมือนจะแห้งแล้งยิ่งกว่าที่ใครๆ จะจินตนาการถึง อย่างไรก็ตามนักท่องเที่ยวที่มาเยือนประเทศนี้สามารถสัมผัสกับทะเลทรายแห่งนี้ด้วยความหรูหราสะดวกสะบายได้ เพราะมีบ้านพักที่สวยงามหลายแห่งในทำเลที่ค่อนข้างห่างไกล ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถดื่มด่ำกับภูมิทัศน์เหล่านั้นได้อย่างเต็มที่
อ้างอิงบทความ
- Namibia
- Top 10 Films Shot in the Spectacular Namibian Desert
- Mad Max: Fury Road’ film locations: How Namibia replaced Australia