จิ๋นซีฮ่องเต้ นับเป็นชื่อของจักรพรรดิองค์แรกที่ผนวกรวมแผ่นดินจีนให้เป็นปึกแผ่นได้สำเร็จ ไม่เพียงแต่พระองค์จะเป็นผู้วางรากฐานของราชวงศ์ฉิน หากแต่ยังถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่หลายต่อหลายแห่ง ทั้งกำแพงเมืองจีนส่วนแรกที่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ไปจนถึงการสร้างสุสานขนาดมหึมา พร้อมกองทัพทหารดินเผาที่ตราตรึงสายตาคนทั้งโลก
เราจะพาทุกท่านไปไขปริศนา เกี่ยวกับ สุสานอันลี้ลับ ซึ่งยังคงอุบความลับไว้อีกมาก ตั้งแต่ห้องสุสานหลักที่ยังไม่ถูกเปิดออก ไปจนถึง “สายน้ำปรอท” ที่เล่าขานกันว่าไหลเวียนอยู่ในสุสาน เพื่อสะท้อนภาพเขา และ แม่น้ำของจักรวาลในมโนทัศน์ของชาวจีนโบราณ นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวของกองทัพนักรบดินเผา 8,000 นาย ที่แต่ละคนล้วนมีลักษณะใบหน้า ท่าทาง และการแต่งกายแตกต่างกันอย่างน่ามหัศจรรย์ ตลอดจน บทสรุปว่าใครกันแน่คือผู้เคยเผาทำลายสุสานและเหล่านักรบเหล่านี้ ก่อนจะเผยถึงเบื้องหลังการสร้างมหาสุสานที่ยิ่งใหญ่มหึมา จนได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก
ห้องสุสานหลักที่ยังไม่ถูกเปิด
แม้จะเป็นที่รู้จักกันในชื่อ สุสานของจิ๋นซีฮ่องเต้ และมีการขุดค้นบริเวณสุสานด้านนอก รวมถึงพื้นที่ส่วนที่พบกองทัพนักรบดินเผาจำนวนมากแล้ว แต่ความเป็นจริงก็คือ “ห้องสุสานหลัก” ขององค์จักรพรรดิยังไม่เคยถูกเปิดอย่างเป็นทางการ นับตั้งแต่มีการค้นพบสุสานในปี ค.ศ. 1974 นักโบราณคดี และ รัฐบาลจีนได้ตัดสินใจคงสภาพ และปิดผนึกห้องสุสานหลักเอาไว้ ด้วยเหตุผลหลายประการ ทั้งความกังวลว่าเทคโนโลยีในการอนุรักษ์วัตถุโบราณอาจยังไม่พร้อมสมบูรณ์ หรืออาจทำให้อากาศ และ ความชื้นเข้าไปสร้างความเสียหายกับศิลปวัตถุล้ำค่าที่อยู่ภายใน
การไม่เปิดสุสานหลักยังสะท้อนถึงความระมัดระวังในการวิจัยโบราณคดีของจีน ซึ่งยังคงถอดบทเรียนจากกรณีขุดค้นสุสานอื่น ๆ ในอดีตที่อาจทำให้วัตถุโบราณสูญเสียคุณค่า หรือต้องพังทลายเมื่อสัมผัสกับอากาศภายนอกอย่างกะทันหัน นักวิจัยหลายคนจึงมีความเห็นตรงกันว่า ควรเก็บรักษา และรอการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการอนุรักษ์ให้ก้าวหน้ามากพอ เพื่อรักษาห้องสุสานหลักนี้ไว้ในสภาพดั้งเดิม โดยหวังว่าวันหนึ่ง เมื่อมนุษยชาติมีวิธีการอนุรักษ์ที่ดีเยี่ยม จะสามารถเข้าไปศึกษา และ สำรวจห้องสุสานของจิ๋นซีฮ่องเต้ได้อย่างปลอดภัย และได้ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์ที่สุด
ปริศนา “สายน้ำปรอท” หรือ “แม่น้ำปรอท”
หนึ่งในตำนานที่น่าตื่นเต้นเกี่ยวกับสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ คือการมี “สายน้ำปรอท” หรือ “แม่น้ำปรอท” อยู่ภายในสุสานหลัก เอกสารโบราณจากราชวงศ์ฮั่น ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลที่เก่าแก่ และน่าเชื่อถือ ได้บันทึกไว้ว่า ภายในสุสานนั้นมีการจำลองภูมิศาสตร์ของแผ่นดินจีน ทั้งภูเขา เนินเขา และแม่น้ำ โดยใช้ปรอทเหลวแทนน้ำในแม่น้ำต่าง ๆ ทั่วราชอาณาจักร เพื่อให้ร่างของจักรพรรดิได้ครอบครองแผ่นดินอย่างสมบูรณ์ แม้เข้าสู่โลกหลังความตาย
ข้อถกเถียงที่ตามมาคือ ปริมาณปรอทในสุสานจะต้องมากเพียงใด จึงเพียงพอที่จะจำลองแม่น้ำ และ ลำน้ำต่าง ๆ อีกทั้งคำถามด้านสุขภาพ และ ความปลอดภัยก็อาจกลายเป็นอุปสรรคในการขุดค้น เมื่อนักวิจัยบางท่านได้ทำการวัดระดับปรอทที่บริเวณเนินสุสาน พบว่ามีความเข้มข้นสูงกว่าปกติอย่างมีนัยสำคัญ จึงสนับสนุนแนวคิดว่า อาจมีสายน้ำปรอทอยู่จริงภายในสุสาน นี่คือหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่การเปิดห้องสุสานหลักอาจต้องใช้เทคโนโลยี และ กระบวนการที่ปลอดภัยขั้นสูง เพื่อป้องกันสารปรอทรั่วไหล และมีผลกระทบต่อผู้คนและ สิ่งแวดล้อม
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลทั้งหมดที่มีเกี่ยวกับสายน้ำปรอทยังคงเป็นเพียงการคาดการณ์ หรือ หลักฐานทางอ้อมที่ได้จากบันทึกโบราณ และการตรวจวัดระดับปรอทเท่านั้น จนกว่าจะมีการสำรวจเชิงลึก หรือ เปิดห้องสุสานหลักอย่างเป็นทางการ เราจึงไม่อาจทราบได้แน่ชัดว่า “สายน้ำปรอท” เป็นเพียงตำนานที่เล่าขาน หรือเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงอย่างยิ่งใหญ่อลังการตามที่บันทึกประวัติศาสตร์โบราณได้กล่าวไว้
ความลับกองทัพดินเผาจิ๋นซีฮ่องเต้
เมื่อกล่าวถึงสุสานของจิ๋นซีฮ่องเต้ หนึ่งในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ห้องสุสานหลัก คือ “กองทัพทหารดินเผา” จำนวนมหาศาลที่ถูกค้นพบ พวกเขาได้รับการเรียกขานว่าเป็น “กองทัพอมตะ” เนื่องจากถูกสร้างขึ้นเพื่อปกป้ององค์จักรพรรดิในชีวิตหลังความตาย กองทัพนี้เปรียบเสมือนผลงานศิลปะ และ ผลงานชิ้นโบราณคดีที่ทรงคุณค่าที่สุดชิ้นหนึ่งของโลก เราจะมาดูความลับในรายละเอียดของกองทัพนี้ไปด้วยกัน
นักรบ 8,000 คน หน้าตา และ บุคลิกที่แตกต่างกัน
กองทัพนักรบดินเผาของจิ๋นซีฮ่องเต้ถูกค้นพบครั้งแรกโดยชาวนาที่ขุดบ่อน้ำในปี ค.ศ. 1974 และนำไปสู่การขุดค้นครั้งใหญ่ พบว่าในพื้นที่สุสานมีนักรบดินเผาร่วม 8,000 ตัว ในรูปแบบของพลทหาร ทหารม้า พลธนู และหน่วยต่าง ๆ แสดงถึงระบบกองทัพอันซับซ้อนในยุคฉินที่โดดเด่น สิ่งที่น่าทึ่งคือ แต่ละตัวไม่ได้มีใบหน้าหรือบุคลิกที่เหมือนกันทุกประการ บางนักรบมีคิ้วเข้ม บางรายไว้หนวดเครา บางคนมีใบหน้าอิ่มเอิบ บางคนดูสูงโปร่ง ทุกตัวล้วนแตกต่าง และเป็นเอกลักษณ์ในตัวเอง ราวกับคัดลอกมาจากบุคคลจริง ๆ ในสมัยนั้น
ผู้เชี่ยวชาญได้ตั้งสมมติฐานว่า การปั้นใบหน้านักรบให้แตกต่างกัน น่าจะมีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงถึงความหลากหลายในกองทัพจริงของจิ๋นซีฮ่องเต้ หรืออาจเป็นการแสดงถึงความเชี่ยวชาญของช่างปั้นในสมัยฉินที่มีเทคนิคระดับสูง อีกทั้งยังเป็นการยืนยันถึงการรวมแผ่นดินที่หลากหลายเชื้อชาติซึ่งจิ๋นซีฮ่องเต้เพิ่งพิชิต และ ผนวกรวมเข้าเป็นอาณาจักรเดียวได้เมื่อไม่นานก่อนหน้านั้น
สีสันบนรูปปั้นนักรบดินเผา
นอกจากรายละเอียดของโครงหน้าและทรวดทรงแล้ว กองทัพดินเผาของจิ๋นซีฮ่องเต้ยังเคยมีสีสันสดใส แต่เมื่อเวลาผ่านไป พื้นผิวสีกลับหลุดลอก หรือ เลือนหายไปแทบทั้งสิ้น เนื่องจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน และการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม เมื่อนักโบราณคดีทำการขุดค้น และ สัมผัสอากาศ รูปปั้นหลายตัวซึ่งยังคงเหลือร่องรอยสี ได้เกิดสีซีดจางอย่างรวดเร็ว จึงทำให้เหลือเพียงสีของดินเผาเป็นส่วนมาก
อย่างไรก็ดี การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การวิเคราะห์ร่องรอยเม็ดสี และการทำภาพจำลอง 3 มิติ ทำให้นักวิจัยสามารถกู้คืนภาพลักษณ์หรือสีสันที่รูปปั้นเคยมีในอดีตได้บ้าง ชี้ให้เห็นว่า เหล่านักรบเคยถูกแต่งแต้มด้วยสีแดง สีเขียว สีม่วง และหลากสีอื่น ๆ เพื่อสร้างความสมจริงและยิ่งใหญ่ ฉะนั้น หากเราได้มองเห็นกองทัพดินเผาตอนที่เพิ่งถูกสร้างเสร็จใหม่ ๆ ก็คงจะเป็นปรากฏการณ์ที่งดงามสะกดใจยิ่งกว่าที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน
ใครคือผู้เผาทำลายสุสานและเหล่านักรบ
การขุดค้นยังพบหลักฐานว่าครั้งหนึ่งบางส่วนของสุสาน และ เหล่ารูปปั้นนักรบดินเผาถูกเผาทำลายจนแตกหักเสียหาย ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่า หลังการสิ้นพระชนม์ของจิ๋นซีฮ่องเต้ ไม่นานนัก ราชวงศ์ฉินก็ล่มสลายลงจากการก่อกบฏ และสงครามกลางเมือง หลิวปัง (ผู้สถาปนาราชวงศ์ฮั่น) และ เซี่ยงอวี่ (ขุนศึกผู้ทรงอำนาจในยุคนั้น) ต่างเข้ายึดพื้นที่ในมณฑลฉิน ช่วงเวลาดังกล่าวเชื่อกันว่า ทหารของเซี่ยงอวี่อาจบุกเข้าทำลายสุสาน และ เผาทำลายบางส่วน รวมถึงพยายามค้นหาสมบัติหรือของมีค่าในสุสาน แต่เนื่องด้วยสุสานมีขนาดใหญ่และซับซ้อน จึงไม่มีการทำลายได้อย่างสมบูรณ์ ทว่ายังทิ้งร่องรอยความเสียหายให้เห็นได้อย่างชัดเจนจนถึงปัจจุบัน
ระบบกลไกกับดัก
อีกหนึ่งความลี้ลับของสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ ที่ยังคงทำให้นักโบราณคดีต้องตั้งข้อสันนิษฐาน คือการที่คัมภีร์โบราณได้บันทึกถึงการติดตั้งกับดัก และ อาวุธอัตโนมัติภายในสุสาน เพื่อป้องกันผู้บุกรุก หรือ โจรขุดสุสานที่หวังจะขโมยทรัพย์สมบัติ จินตนาการว่า ในยุคฉินกว่า 2,000 ปีก่อน อาจมีการติดตั้งคันธนูหรือเครื่องยิงลูกธนูภายในกำแพงหรือประตูบางจุด เพื่อให้ถูกปล่อยออกมาเมื่อมีผู้บุกรุกเดินผ่าน แม้จะไม่มีหลักฐานทางวัตถุที่ยืนยันถึงกลไกเหล่านี้อย่างแน่ชัด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีอยู่จริง
การขุดค้นในพื้นที่บางจุดของสุสานเคยค้นพบชิ้นส่วนโลหะ หรือกระดูกลูกธนู ซึ่งอาจเป็นเครื่องมือหรือเครื่องกระสุนสงคราม แม้อาจจะมาจากเหตุการณ์สงครามในช่วงหลังสิ้นราชวงศ์ฉินก็ตาม แต่ข้อสมมติฐานเชิงกลไกกับดักยังคงเป็นเรื่องที่นักโบราณคดีให้ความสนใจ เนื่องจากสะท้อนถึงความพยายามในการปกป้องสุสานไม่ให้ผู้ใดรุกราน ทั้งยังสะท้อนถึงความหวาดระแวงของจักรพรรดิผู้รวบรวมแผ่นดินจีน ท้ายที่สุดแล้ว ระบบกับดักจะมีอยู่จริงมากน้อยแค่ไหน คงต้องรอให้เทคโนโลยีการตรวจสอบใต้พื้นดินหรือการสำรวจเชิงลึกในอนาคตมาไขความกระจ่าง
เบื้องหลังการสร้างสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้
การก่อสร้างสุสานขนาดใหญ่โตมโหฬารของจิ๋นซีฮ่องเต้ไม่ใช่เรื่องง่าย อาณาเขตของสุสานครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 50 ตารางกิโลเมตร และประเมินว่ามีแรงงานเข้าร่วมการก่อสร้างหลายแสนคนตลอดระยะเวลาหลายสิบปี บ้างอ้างว่าระยะเวลาการก่อสร้างสุสานเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่จิ๋นซีฮ่องเต้ทรงก้าวสู่บัลลังก์ และอาจขยับขยายต่อเนื่องไปจนกระทั่งหลังเสด็จสวรรคต
สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ตั้งอยู่ใกล้เมืองซีอาน มณฑลส่านซี ซึ่งเป็นบริเวณที่อุดมด้วยทรัพยากร ไม่ว่าจะเป็นดินเหนียวสำหรับการปั้นรูปปั้นดินเผา ไม้ เหล็ก และเครื่องมือในการก่อสร้าง นอกจากนี้ ความเป็นศูนย์กลางทางการปกครองหลังการรวมแผ่นดินยังเอื้อต่อการจัดสรรแรงงานและทรัพยากรจากพื้นที่ต่าง ๆ มาใช้ก่อสร้างได้ง่ายยิ่งขึ้น ช่างฝีมือที่มีความเชี่ยวชาญจากทั่วอาณาจักรถูกเรียกตัวมายังสถานที่แห่งนี้ เพื่อร่วมกันสร้างผลงานที่เสมือนแสดงพระบารมีของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่
ในอีกมุมหนึ่ง เราไม่อาจมองข้ามความโหดร้ายในการเกณฑ์แรงงานจำนวนมหาศาล โดยผู้คนที่ถูกเรียกระดมมาทำงานบนพื้นที่ก่อสร้าง บ้างอาจเป็นเชลยศึกจากสงคราม บ้างเป็นช่างฝีมือบังคับ หรือเกษตรกรที่ถูกใช้แรงงาน ซึ่งหลายคนต้องทำงานท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ยากลำบาก ขาดแคลนอาหาร และ พักผ่อนไม่พอ จนเกิดการล้มตายสูง ก่อให้เกิดเรื่องเล่าหรือความเชื่อว่าผู้ที่เสียชีวิตจากการก่อสร้างสุสานบางส่วนอาจถูกฝังรวมไปกับสุสาน โดยเฉพาะในส่วนพื้นที่ชั้นลึก เพื่อปกปิดความลับหรือไม่ให้มีใครแพร่งพรายข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับผังสุสาน เมื่อมองกลับไป นี่คือด้านมืดของความยิ่งใหญ่ การสร้างสุสานของจิ๋นซีฮ่องเต้จึงเต็มไปด้วยทั้งมรดกโบราณอันประเมินค่ามิได้ และเรื่องราวความเจ็บปวดของแรงงานผู้ไร้อำนาจ
สรุป
สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้เป็นทั้งสัญลักษณ์อันยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์ราชวงศ์ฉิน และยังเป็นขุมทรัพย์ทางโบราณคดีที่ยังไม่มีใครได้สำรวจจนหมดจด ห้องสุสานหลักยังไม่เคยถูกเปิดเผยมาก่อน ปล่อยให้ปริศนา “สายน้ำปรอท” ยังคงค้างคาในใจของผู้คนทั่วโลก กองทัพนักรบดินเผากว่าหมื่นชีวิต (รวมทหารม้าและนักรบในรูปแบบต่าง ๆ) ก็สะท้อนถึงความชำนาญอันล้ำลึกทางศิลปะและเชิงช่างของจีนโบราณอย่างที่น้อยคนจะคาดถึง สภาพที่เห็นทุกวันนี้อาจเป็นเพียงเศษเสี้ยวของความสมบูรณ์ในอดีต ทั้งสีสันที่เลือนหายและร่องรอยการถูกเผาทำลายจากสงครามระหว่างช่วงล่มสลายของราชวงศ์ฉิน
ระบบกลไกกับดักที่ถูกกล่าวถึงในคัมภีร์โบราณยังคงเป็นเงื่อนงำที่รอการเปิดเผย หากเทคโนโลยีก้าวหน้าถึงระดับที่สามารถรักษาสภาพวัตถุภายในสุสานโดยไม่ก่อความเสียหาย เราอาจได้เห็นหลักฐานชัดเจนยิ่งขึ้น รวมถึงได้ไขความจริงเกี่ยวกับสายน้ำปรอทที่ถูกบันทึกไว้ว่าเป็นแม่น้ำจำลองภายในสุสานหลัก เหตุผลในการสร้างสุสานขนาดมหึมานี้ สะท้อนถึงความปรารถนาของจักรพรรดิ “จิ๋นซีฮ่องเต้” ในการคงอำนาจเหนือแผ่นดิน แม้หลังความตายก็ยังต้องการให้ตนเองเป็นผู้ครอบครองทุกสรรพสิ่ง
ท้ายที่สุดแล้ว สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ก็ยังคงอยู่ในสถานะ “ความลับ” ที่มนุษยชาติอยากทำความเข้าใจ เราได้แต่เฝ้ารอวันที่เทคโนโลยีทางโบราณคดีและการอนุรักษ์พัฒนาจนถึงขั้นที่จะเปิดห้องสุสานหลักได้อย่างปลอดภัย เพื่อไขปริศนาทั้งหมดที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังแผ่นดินฉิน ไม่ว่าจะเป็นความยิ่งใหญ่ของกองทัพทหารดินเผา การก่อสร้างสุสานที่ต้องแลกมาด้วยแรงงานนับแสนชีวิต หรือสารปรอทที่ยังคงเป็นประเด็นถกเถียงในหมู่นักวิจัย เมื่อถึงเวลานั้น เราอาจจะได้เรียนรู้อย่างลึกซึ้งถึงมุมต่าง ๆ ของประวัติศาสตร์จีนโบราณ สะท้อนให้เห็นทั้งแสงและเงาของยุคสมัย ร่องรอยแห่งอำนาจ และร่องรอยแห่งชีวิตผู้สร้างที่เคยอยู่อาศัยบนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้