เพราะว่ารู้ตัวอีกทีก็เอาขาลากมาอยู่กลาง อุทยานแห่งชาติที่ชื่อ “ย่าติง” เสียแล้ว จิตใจไม่อยู่กับร่องกับรอย ราวกับว่า ฉันจะพาเธอลอย ล่องไปในอุทยาน ความสวยงามชนิด Full HD ผ่านดวงตา เลนส์ที่ดีที่สุดในการประมวลความทรงจำ ไม่ได้อยู่ที่’ความละเอียด’ หากแต่อยู่ที่ ‘รายละเอียด’
ทริปนี้เป็นส่วนหนึ่งของทริปการเดินทางที่จะเกิดขึ้นกับบริษัททัวร์ Patourlogy บริษัทนำเที่ยวการเดินทางของหมอๆตะลุยโลก ครับ
“ย่าติง” ซัมบาลาแห่งสุดท้าย
ดินแดนที่ใครต่อใครกล่าวถึง (ตอนอ่านต้องใช้เสียง เอลซ่า ด้วยนะ เอาๆลองอ่านใหม่อีกที)
กาลครั้งหนึ่ง
ไปชมใบไม้เปลี่ยนสี
ไปชมภูเขาหิมะสุดยิ่งใหญ่
ไปชมทะเลสาบสำคัญที่ตั้งอยู่บนยอดเขา
สัมผัสกับความผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมชาวธิเบตและวัฒนธรรมชาวจีน ไม่ว่าจะเป็น อาหาร ผู้คน สถานที่ จะทำให้คุณได้หลงรักกับ….สถานที่ แห่งนี้มากขึ้น
สถานที่ที่เรียกว่า “ย่าติง”
หรือชาวพื้นเมืองเรียกสถานที่แห่งนี้ว่า “ซัมบาลา”
“ซัมบาลา” มาจากคำว่า “เซียงปาลา” ภาษาธิเบตแปลว่า “บ้านเก่า” สถานที่ต้องกลับไปก่อนลาจากโลกมนุษย์เพื่อค้นหาความสงบและตัดขาดจากโลกภายนอก
ส่วนคำว่า “เต้าเฉิงย่าติง” ที่แท้จริงแล้วก็คือ “เซียงเก๋อหลี่ลา(แชงกรีล่า)” ส่วนแชงกรีล่าที่คนไปเที่ยวกันในปัจจุบันนี้ จริงๆก็คือ แผ่นดินภาคกลาง อาจเป็นเพราะ ในการเดินทางไปยังอุทยานแห่งชาติย่าติงนั้น การคมนาคมยังไม่สะดวก(มากกกกก) เพราะ เส้นทางที่จะไปยังเมืองเต้าเฉิงได้นั้น มีเพียงเส้นทางหลักเท่านั้น ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะบินไปลงเมืองหลักๆอย่างคุนหมิง หรือเฉิงตูก่อนแล้วจำเป็นต้องต่อรถเข้ามาเพื่อมายังเมืองเต้าเฉิง การตัดถนนของประเทศจีน หากเป็นไปได้เขาจะไม่ตัดถนนผ่านเขา แต่มักจะสร้างเส้นทางให้ลัดเลาะไปตามแนวสันเขา ภูเขามีกี่โค้งก็สร้างมันตามจำนวนโค้ง แนะนำให้พกยาแก้เมารถมา ไม่งั้นก็จัดยาสลบตั้งแต่ขึ้นรถไปเลย อารมณ์เหมือน ‘ห่างแค่เพียงเอื้อมมือ แต่มันคือแสนไกล’……หรือจะเป็น ‘อีกไกลแค่ไหนจนกว่าฉันจะใกล้ บอกที’ เห็นอยู่ตรงนี้แต่ไม่ถึงสักที นั่งรถไปยาวๆ 8-10 ชั่วโมง
อุทยานแห่งชาติย่าติง
อุทยานแห่งชาติย่าติง ตั้งอยู่ที่เมืองเต้าเฉิง มณฑลเสฉวน พี่จีนแผ่นดินใหญ่ของเรา สำหรับการมาท่องเที่ยวที่อุทยานแห่งชาติย่าติงนั้น สามารถเข้าชมได้ทั้งปี แต่ถ้ามาช่วงฤดูหนาว ฤดูร้อนหรือช่วงพายุก็จะมีเรื่องเล่าให้ การเดินทางของคุณมีความพิเศษ อย่าง ถนนขาด สะพานหัก พายุหิมะ แต่ก็แลกมาซึ่งจำนวนนักท่องเที่ยวไม่มาก ค่าที่พักถูก ส่วนช่วงพีคของปีที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาเยี่ยมเยือนสถานที่แห่งนี้ จะอยู่ในช่วงตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายน เป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสี เหลือง ส้ม น้ำตาล ไปทั่วทั้งอุทยาน ยอดเขาสีขาวที่มีหิมะปกคลุม ตัดกับความใสสะอาดของทะเลสาบสีฟ้า สภาพอากาศที่ไม่หนาวเย็นจนเกินไป แสงแดดอันอบอุ่น กับวันที่ฟ้าเปิด ต่อให้ไม่ได้เป็นตากล้อง เชื่อเถอะ…สวยตะลึง!!! สวยวัวตายควายล้มไปเลย
ภายในอุทยานแห่งชาติย่าติงมีจุดที่สำคัญหลายจุดที่ไม่ควรพลาด ซึ่งหากไล่ไปตามความสูงของสถานที่ในอุทยานย่าติง ตามลำดับ ดังนี้
- ทุ่งหญ้าชงกู่ ( สูง 3,900 เมตร)
- ทุ่งหญ้าลั่วหลง สูง 4,180 เมตร
- ทะเลสาบไข่มุก (Pearl Lake) (สูง 4,100 เมตร)
- ทะเลสาบกบ (Frog Lake) ) (สูง 4,500 เมตร)
- ทะเลสาบน้ำนม (Milk Lake) ) (สูง 4,600 เมตร)
- ทะเลสาบห้าสี (Five Colors Lake) ) (สูง 4,700 เมตร)
เห็นได้ว่าสถานที่แต่ละแห่งมีความสูงเกิน 2,400 เมตร ส่งผลให้มีโอกาสเกิด ‘ภาวะแพ้ความสูง’ได้ค่อนข้างมาก ทั้งนี้ควรมีการเตรียมสภาพร่างกายให้พร้อมก่อนไป รับรู้ถึงสภาวะตัวเอง ความผิดปกติที่อาจจะเกิดขึ้น รวมการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นการจิบน้ำ ทานยา ไม่เปลี่ยนอริยาบทเร็วเกินไป เป็นต้น
การเดินทางจากหมู่บ้านย่าติงไปยังทุ่งหญ้าชงกู่และทุ่งหญ้าลั่วหลงซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในการเดินไปยังทะเลสาบไข่มุก, ทะเลสาบห้าสีและทะเลสาบน้ำนม นั้นจะมีรถบริการ ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ระหว่างทางภูเขาขนาดใหญ่อลังการตั้งตระง่านอยู่เบื้องหน้า โอบล้อมด้วยแนวใบไม้เปลี่ยนสีอ่อนเข้มสลับกัน บทเพลงจีนทำนองระรื่นหูจากลำโพงบนรถ เพิ่มบรรยากาศความเป็นนางเอกพระเอกจีนร่ายรำอยู่ท่ามกลางวิวทิวทัศน์หลักล้านที่รายล้อมกายนี้
สำหรับระยะเวลาในการเดินภายในอุทยานแห่งชาติย่าติงนั้นปกติแล้วหากอยากจะเก็บให้ทั่วก็ประมาณ 2-3 วันแต่ครั้งนี้เรามีเวลาเพียง 2 วัน จุดหมายของแต่ละวันเป็น ดังนี้
วันแรก ทะเลสาบไข่มุก
วันที่ 2 ทะเลสาบน้ำนม และทะเลสาบห้าสี
ผูกเชือกรองเท้าให้กระชับ ปรับสายกระเป๋าให้ตึง สูดหายใจอีกสักฟอด
เริ่ม ภารกิจ!!!
จากจุดเริ่มต้น(ทุ่งหญ้าชงกู่น) ลักษณะเป็นทุ่งหญ้ากว้างมีภูเขาหิมะเป็นฉากหลัง และมีแม่น้ำพาดผ่านตรงกลาง ในวันที่ฟ้าใสแบบนี้เปลี่ยนน้ำธรรมดาให้ใสราวกระจก เห็นยันกรวดหินดินทรายข้างใต้ ทางไปยังทะเลสาบไข่มุก ลักษณะเป็นสะพานเหล็กที่ทอดยาวไปตามเส้นทาง มีจุดแวะพักเป็นระยะ ใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง
ระยะทาง 1.5 กิโลเมตร ไป-กลับรวมๆ 3 กิโล ตลอดสองข้างทาง เพลิดเพลินไปกับสีสันของเหล่าใบไม้ โดยเฉพาะบริเวณทะเลสาบไข่มุก วิวตรงหน้าเป็นทะเลสาบสีเทอควอยขนาดใหญ่ มีฉากหลังเป็นภูเขาหิมะตัดกับแนวใบไม้เปลี่ยนสี สายลมที่พัดมาพัดเหล่าใบไม้ให้พลิ้วไหวราวกับว่าใบไม้เหล่านั้นกำลังร่ายรำ
วันที่ 2 ทุ่งหญ้าลั่วหลงไปทะเลสาบน้ำนมและทะเลสาบห้าสี
เส้นทางวันนี้ใช้พลังงานค่อนข้างมาก แนะนำว่าให้เตรียมตัวสำหรับสภาพอากาศที่เบาบาง การเคลื่อนไหวที่ฉับพลันเกินไปอาจทำให้หน้ามืด หมดสติได้ แนะนำว่าให้ค่อยๆเดินไต่ระดับไป นอกจากจะเป็นการปรับสภาพร่างกายแล้วยังทำให้เราได้สัมผัสกับความสวยงามโดยรอบมากขึ้นอีกด้วย
ทุ่งหญ้าลั่วหลง แนวทุ่งหญ้าขนาดใหญ่สีทองอร่าม จนอยากจะเอาโกโก้ครั้นมากินด้วย จะได้ บรู้ววว กลายเป็นโกโก้ครั้น เหล่าจามรี นอนรับแดด กินหญ้า สุดแสนจะ Slow life
สำหรับระยะทางจากทุ่งหญ้าลั่วหลงไปยังทะเลสาบน้ำนม ระยะทาง 5 กิโลเมตร ซึ่งในช่วง 3 กิโลเมตร มีบริการม้าซึ่งช่วยประหยัดพลังงานแรงขาเราไปได้มาก ราคาประมาณ 330 หยวน/เที่ยว ลงจากหลังม้าช่วง 2กิโลเมตรหลังทางเป็นทางชันสลับทางราบ ระยะเวลาโดยเฉลี่ยสำหรับบุคคลทั่วๆ ไป ในการเดินขึ้นทะเลสาบน้ำนมแบบไม่นั่งม้านั้นใช้เวลาประมาณ 3.5 – 4 ชั่วโมง ส่วนระยะเวลาในการเดินลงนั้นน่าจะประมาณ 1.5 -2 ชั่วโมง
เดินมาเรื่อยๆ ยิ่งความสูงมากขึ้น ใกล้มากขึ้นขนาดของภูเขาหิมะเบื้องหน้าเริ่มโผล่ตัวออกมาให้เห็นชัดเจนหลังจากที่หลบๆซ่อนๆมานาน ที่ความสูง 4,600 เมตร สถานที่ที่ได้ชื่อว่า “ทะเลสาบน้ำนม” ทะเลสาบที่ถูกหุบเขาหิมะล้อมรอบ ขาวไปหมด หรือนี่จะเป็นที่มาของคำว่า ทะเลสาบน้ำนม ยกให้ที่นี่เป็นความอลังการระดับ 10 สวยมาก มาก มากกกก มนุษย์อย่างเราๆเมื่อไปยืนท่ามกลางธรรมชาติแห่งนี้ เหมือนเป็นติ่งของไส้ติ่งไปเลย ข้างบนลมค่อนข้างแรง แนะนำว่าควรเตรียมเฟอร์ไปให้พร้อมเพื่อป้องกันความหนาวเหน็บที่จะต้องเจอ
จากทะเลสาบน้ำนมไปทะเลสาบห้าสีระยะทางเพียง 300 เมตร แต่ทางชันมากกกกกกกก ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่นานนักก็มาถึงยังทะเลสาบห้าสี ที่ระดับความสูง 4,700 เมตร หิมะสีขาวโผลนไปทั่วบริเวณ เป็นความสวยงามอันบริสุทธิ์ ยิ่งใหญ่ ตระการตา คุ้มเหนื่อย ราวกับมารับพลังชีวิตให้พลังงานเต็ม ก่อนกลับไปใช้ชีวิตต่อ ถึงจุดนี้อยากบอกว่า “ตายตาหลับ” สวยกระชากวิญญาณ รวมถึงสูบแบตกล้องมากๆ
ขากลับดวงอาทิตย์เลื่อนลงต่ำ แสงแดดยามเย็น เพิ่มบรรยากาศให้ความหนาวที่นี่ดูอบอุ่นมาอีกนิด และนี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่อุทยานแห่งชาติย่าติง
ระยะทางกว่า 10 กิโลเมตร ไม่ไกลเกินเดินสำหรับสถานที่แห่งนี้ วิวทิวทัศน์สุดตระการตาแบบไม่มีจำกัด คงเพียงพอที่จะเป็น “ของขวัญ” ให้กับนักท่องเที่ยวที่ได้มาเยือน “อุทยานแห่งชาติย่าติง” แห่งนี้
ออกจากอุทยานแห่งชาติย่าติง มีเมืองที่แนะนำให้ไปสัมผัส ชื่อว่า เมืองซินตูเฉียว(Xinduqiao)
“ซินตูเฉียว” สรวงสวรรค์ของช่างภาพ
ปัจจุบัน ซินตูเฉียวกลายเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศจีน และเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยว ที่ช่างภาพมืออาชีพและมือสมัครเล่นใฝ่ฝันต้องมาสักครั้งในชีวิต ความงามของทุ่งหญ้าถ่ากงที่เหลืองอร่ามสุดลูกหูตา ลำธาร ต้นไม้ ฝูงจามรีใช้ชีวิตอ้อยอิ่ง Slow life แนวภูเขาสลับซับซ้อนดำสลับเหลือง รวมถึงภูเขาหิมะอยู่ไกลลิบๆ ชื่อว่า Yala นับเป็นองค์ประกอบที่เหมาะแก่การถ่ายภาพเป็นอย่างยิ่ง
ที่เมืองซินตูเฉียวยังมี “วัดถ่ากง” ชื่อวัดพุทธศาสนานิกายมหายานแบบทิเบต ภายในวัด มีองค์พระศรีศากยมุนีและเจดีย์ที่สร้างจากทองคำ หนักกว่า 100 กิโลกรัม
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของช่างภาพ คือ ช่วงพระอาทิตย์ขึ้น แสงจากพระอาทิตย์ที่กระทบกับหลังคาและเจดีย์สีทอง เป็นวินาทีที่ราวกับต้องมนต์สะกด
เกือบลืมไป เรื่อง “สถานที่แห่งความสุข” “สุขา” หรือ “ห้องน้ำ” เป็นยังไง ไม่กล่าวถึงก็คงไม่ได้ อยากให้เห็นภาพ(หัวเราะ)
ก่อนอื่นเรามีประโยคสำหรับถามทางไปห้องน้ำมาฝากกัน เชื่อเถอะได้ใช้
厕所在哪里? Cèsuǒ zài nǎlǐ? อ่านว่า เช่อสั่ว ไจ้หนาหลี่
เชื่อว่าคุณผู้อ่านคงได้ยินเรื่องราวของห้องแห่งความสุขของพี่จีนแผ่นดินใหญ่มาพอสมควร ส่วนตัวมีประสบการณ์ไปเยือนจีนมาแล้วหลายเมือง พบว่า โดยส่วนใหญ่ ย้ำว่าโดยส่วนใหญ่ หากเป็นห้องน้ำตามโรงแรม สนามบิน หรือ สถานสำคัญๆห้องน้ำค่อนข้างดีถึงดีมาก ร้านอาหารตามเมืองเข้าขั้นพอรับได้(อันนี้แล้วแต่ดวง) ส่วนเรื่องห้องน้ำระหว่างการเดินทางและในอุทยานย่าติงนั้นจะเป็นห้องน้ำแบบจีนตามที่เราได้ยินเสียงร่ำลือมา มีหลายเกรด ตั้งแต่ร้อง ฮู้วว์นิดๆ ไปจนถึงขั้น ฮู้วววววววววววว์ และหรือมีสบถต่อท้าย เรื่องนี้อาจต้องทำ(ใจ) มองว่าครั้งนึงเรามาใช้แต้มบุญกันที่นี่ หรือมองมันเป็นประสบการณ์ชีวิตใหม่ๆช่วยได้เยอะเชียวล่ะ
แค่เปิดใจก็จะได้เห็นมุมที่ต่างออกไปอย่างแน่นอน
“เราเอง” คือหนึ่งในนั้น
บทเรียนของเราไม่มีผนัง
Patourlogy