สำรวจธารน้ำแข็งแห่ง “อลาสก้า” ในดินแดนที่ห่างไกลที่สุด เข้าถึงยากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ภาพก้อนน้ำแข็งกว้างใหญ่จนดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด เสริมด้วยสีฟ้าขาวของภูเขาหิมะที่ตั้งอยู่ลิบๆ
บ้านหลังน้อยสีสันสดใสเรียงรายบนชายฝั่งตัดกับสีของน้ำทะเล และบุคลิกของชาวท้องถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์และมีความโอบอ้อมอารี
ที่นี่คือ “อลาสก้า” (Alaska)
แผ่นดินห่างไกลที่เป็นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าพื้นเมืองกับวิถีชีวิตที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่ทั้งสวยงามและยากลำบากในขณะเดียวกัน ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นรัฐเดียวในอเมริกาที่ยังคงความ “ดิบ” ตามธรรมชาติไว้ได้มากที่สุด
เราสามารถเดินทางมาเที่ยวอลาสก้าได้แทบทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นการชมแสงเหนือและนั่งเลื่อนที่ลากด้วยสุนัขในฤดูหนาว หรือจะทำกิจกรรมกลางแจ้ง สัมผัสความมีชีวิตชีวาของเมืองในฤดูร้อน แต่หนึ่งในช่วงเวลาที่สวยงามที่สุดคือฤดูใบไม้ร่วง ในช่วงปลายเดือนสิงหาคมถึงต้นเดือนกันยายน ที่ใบไม้พร้อมใจกันเปลี่ยนสี นอกจากจะเป็นภาพที่แปลกตาสำหรับชาวไทยแล้ว ภาพใบไม้สลับสีเหลือง ส้ม แดง ปกคลุมบนภูเขาสุดลูกหูลูกตายังเป็นช่วงเวลาที่พิเศษ เพราะในหนึ่งปีจะมีช่วงที่สวยงามที่สุดเพียง 1-2 สัปดาห์เท่านั้น
คำเตือน ก่อนจะเลื่อนลงไปจากนี้ ท่านอาจจะใจสั่น เต้นตุ๊บๆ กับความงดงามของดินแดนแห่งนี้ จนอาจจะมือพลาดจองตั๋วไปเลยทันทีก็ได้ครับ !!!
ข้อมูลเบื้องต้นของอลาสก้า (Alaska)
รัฐอลาสก้าตั้งอยู่ทางเหนือสุดและตะวันตกสุดของสหรัฐอเมริกา แต่ไม่ได้มีพื้นที่ติดต่อกับรัฐอื่น ๆ ทางบก เพราะมีประเทศแคนาดาคั่นไว้ ในอดีตดินแดนอันหนาวเย็นแห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของชาวพื้นเมือง ก่อนที่ชาวรัสเซียจะเดินทางเข้ามาทางเรือและหลังจากนั้นสหรัฐฯ จึงซื้ออลาสก้าไปจากรัสเซียด้วยราคาเพียง 7.2 ล้านเหรียญ ต่อมาผู้คนต่างค้นพบว่าอลาสก้าไม่ใช่พื้นที่รกร้างและหนาวเย็นอย่างที่เข้าใจกัน แต่เต็มไปด้วยทรัพยากรมากมาย และที่สำคัญ อลาสก้าเป็นสถานที่ที่มีความสวยงามและบริสุทธิ์ มีธรรมชาติที่สมบูรณ์ รวมทั้งมีความน่าสนใจของวัฒนธรรมที่ผสมผสานกันจากชนชาติต่าง ๆ ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานอีกด้วย
การเดินทางเข้าสู่อลาสก้าจากประเทศไทยที่ง่ายที่สุดก็คือการบินไปเริ่มต้นที่เมืองซีแอตเทิล (Seattle) จากนั้นนั่งเครื่องบินภายในประเทศไปอลาสก้า ส่วนการเดินทางท่องเที่ยวภายในรัฐนั้นนิยมขับรถ เพราะอลาสก้ามีขนาดใหญ่และประชากรน้อย ความสะดวกสบายในแง่ของการขนส่งสาธารณะจึงยังไม่มี นอกจากนี้การใช้รถยังทำให้เรามีโอกาสค่อย ๆ ชมความสวยงามของระหว่างทาง ซึ่งสำคัญไม่น้อยไปกว่าปลายทางอีกด้วย
Homer (โฮเมอร์) ศูนย์รวมศิลปะแห่งอลาสก้า
หนึ่งในเมืองที่มีเอกลักษณ์และมีความเป็นตัวของตัวเองสูงมากในอลาสก้า เป็นศูนย์รวมของชุมชนศิลปินจึงมีบรรยากาศสบาย ๆ และเปิดกว้าง
ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เหมาะกับกิจกรรมทางทะเล จึงได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงแห่งการตกปลาแฮลิบัต
ภูมิประเทศที่โดดเด่นของโฮเมอร์คือ “โฮเมอร์สปิต” แผ่นดินแคบยาวที่ยื่นออกไปในทะเลกว่า 7 กิโลเมตร
เป็นจุดชมวิวและจุดขึ้นเรือเพื่อเดินทางออกสู่ทะเล มีร้านอาหารและร้านของฝากให้เลือกซื้อในบรรยากาศเป็นกันเอง
และเป็นสถานที่ตั้งแคมป์ที่เป็นที่นิยมในหมู่นักเดินทางท้องถิ่นที่มักใช้รถบ้านในการเดินทางด้วย
โฮเมอร์สปิตเป็นบริเวณที่เหมาะกับการเดินเล่นและพักผ่อน เพราะมีชายหาดยาวเกือบตลอดทาง ส่วนอีกฝั่งของถนนจะเป็นท่าเรือ
Homer (โฮเมอร์) ศูนย์รวมศิลปะแห่งอลาสก้า
Kachemak Bay (อ่าวคาเชมัค)

อ่าวคาเชมัค (Kachemak Bay)
อ่าวคาเชมัคคือภาพวิวที่คุ้นเคยของชาวเมืองโฮเมอร์
ที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของอุทยาน Kachemak Bay State Park ซึ่งมีทิวทัศน์ที่สวยงามและมีสัตว์ทะเลนานาชนิดอาศัยอยู่
นอกจากเป็นแหล่งท่องเที่ยวศึกษาธรรมชาติแล้วยังเป็นชุมชนเก่าแก่ที่มีการตั้งรกรากมานานอีกด้วย
ในการเดินทางไปเที่ยวชมภายในอ่าวจะต้องไปทางเรือเท่านั้น แม้แต่หมู่บ้านบางแห่งก็ยังไม่มีถนนตัดไปถึง
Seward (ซีวอร์ด)
เมืองขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ที่มีทั้งภูเขา ธารน้ำแข็ง และทะเล เป็นอีกเมืองที่สวยงามและเงียบสงบ เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจ
หรือถ้าชอบทำกิจกรรมสนุก ๆ ก็มีสถานที่ที่สวยงามและน่าสนใจมากมายที่อยู่ไม่ไกลจากเมือง
ถือว่าได้อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติโดยไม่จำเป็นต้องทิ้งความสะดวกสบายของเมือง
Seward (ซีวอร์ด)
Kenai Fjord National Park (อุทยานแห่งชาติเคไนฟยอร์ด)
อุทยานแห่งชาติเคไนฟยอร์ดตั้งอยู่ใกล้กับเมืองซีวอร์ด ที่นี่มีจุดเด่นคือมีทุ่งน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา คือทุ่งน้ำแข็งฮาร์ดิง และมีภูมิประเทศแบบฟยอร์ดที่เกิดจากการกัดเซาะของธารน้ำแข็งเหล่านี้
ด้วยสภาพภูมิประเทศที่เป็นน้ำแข็งและน้ำทะเล การเดินทางมาเยี่ยมชมจึงมักจะเป็นทางเรือ ซึ่งแม้จะไม่รวดเร็วทันใจ แต่ก็เป็นโอกาสอันดีในการค่อย ๆ ชื่นชมผลงานของธรรมชาติอย่างช้า ๆ และใกล้ชิด
อุทยานแห่งชาติเคไนฟยอร์ด (Kenai Fjords National Park)
คาบสมุทรเคไน (Kenai Peninsula)
Exit Glacier (ธารน้ำแข็งเอ็กซิต) สุดยอดธารน้ำแข็งแห่งอลาสก้า
ธารน้ำแข็งเอ็กซิตตั้งอยู่ติดกับตัวเมืองซีวอร์ด เป็นหนึ่งในธารน้ำแข็งที่เดินทางเข้าถึงได้ง่ายที่สุด โดยสามารถนั่งรถมาถึงและเดินต่ออีกไม่ไกล
ก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติอย่างใกล้ชิดจนสัมผัสได้ถึงไอเย็นจากก้อนน้ำแข็ง
ที่สำคัญ ที่นี่เป็นธารน้ำแข็งที่เห็นการหดตัวอย่างชัดเจน มีทั้งหลักที่ปักวัดระยะทางไว้และภาพถ่ายในอดีตให้เห็นชัดถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ
นอกจากเส้นทางเดินสบาย ๆ แล้ว ธารน้ำแข็งเอ็กซิตมีเส้นทางเดินป่าอีกหลายเส้นให้เลือก
อลาสก้าเป็นดินแดนห่างไกลที่ดูลึกลับสำหรับหลาย ๆ คน แต่แท้จริงแล้วพื้นที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความสวยงาม ทั้งหมู่บ้านน่ารัก ๆ ธารน้ำแข็งที่แสดงความน่าเกรงขามของธรรมชาติ อากาศที่บริสุทธิ์ สัตว์ทะเลชนิดต่าง ๆ และแนวภูเขาที่แต่งเติมให้เส้นขอบฟ้าดูโดดเด่น
นอกจากวิวธารน้ำแข็งที่เป็นเอกลักษณ์ของแถบนี้แล้ว อีกภาพที่หาดูได้ยากก็คือความสวยงามของใบไม้ที่เปลี่ยนสีในช่วงฤดูใบไม้ร่วงตัดกับสีท้องฟ้า ทั้งหมดมารวมกันอยู่ที่อลาสก้านี่เอง
ธารน้ำแข็งเอ็กซิต (Exit Glacier)
Anchorage (แองเคอเรจ) ศูนย์กลางการปกครองอลาสก้า
เมืองใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดของอลาสก้า ปัจจุบันเป็นศูนย์กลางการเดินทางเข้าออกจากรัฐ ด้วยความเป็นศูนย์กลางจึงทำให้เมืองนี้มีความเจริญและมีการจัดกิจกรรมมากมาย เช่น นิทรรศการต่างๆ งานแสดงดนตรี และยังมีพิพิธภัณฑ์แองเคอเรจ ซึ่งมีการจัดแสดงเกี่ยวกับวัฒนธรรม วิถีชีวิต งานศิลปะ และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับชีวิตในอลาสก้าไว้อย่างน่าสนใจ
นอกจากนี้นอกเมืองยังมีศูนย์อนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า ซึ่งเป็นสถานที่ดูแลสัตว์ที่ให้สัตว์ใช้ชีวิตอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ และมีสัตว์ที่หาดูได้ยากหลายชนิด ได้แก่ หมี กวางมูส เป็นต้น

ฝูงควายไบสัน (Bison) ศูนย์อนุรักษ์สัตว์ป่าแห่งอลาสก้า (Alaska Wildlife Conservation Center)
Denali National Park (อุทยานแห่งชาติเดนาลี)
หนึ่งในอุทยานที่มีชื่อเสียงที่สุดในสหรัฐ ที่นี่มีภูมิประเทศและพืชพรรณที่หลากหลาย เช่น ป่าชนิดต่างๆ ภูมิประเทศแบบไทกา ทุนดรา และธารน้ำแข็งและยอดเขาหิมะ และที่สำคัญคือเป็นที่ตั้งของยอดเขาเดนาลี ยอดเขาที่สูงที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ ซึ่งสูงถึง 6,190 เมตร
กิจกรรมที่อุทยานเดนาลีนี้มีให้เลือกมากมาย กิจกรรมที่เป็นที่นิยมมากก็คือการนั่งรถชมสัตว์ป่า ซึ่งความพิเศษก็คือการได้เห็นสัตว์ป่าใช้ชีวิตอยู่ในธรรมชาติ ซึ่งเป็นภาพที่หายากและต้องอาศัยโชคช่วยด้วย สัตว์ที่มีชื่อเสียงคือแกะดอล แกะที่พบได้ในแถบตะวันตกเฉียงเหนือของอเมริกา ได้แก่อลาสก้าและบางพื้นที่ในแคนาดาเท่านั้น
ยอดเขาเดนาลี (Denali Peak)
กวางมูส (Moose) ในอุทยานแห่งชาติเดนาลี

Alaska Brown Bear
Denali Highway (ทางหลวงเดนาลี) ถนนที่สวยที่สุดของอลาสก้า
นอกจากเขตอุทยานแห่งชาติแล้ว บริเวณรอบๆ อุทยานก็มีทิวทัศน์ที่สวยงามไม่ต่างกัน ทางหลวงเดนาลีซึ่งเป็นทางเชื่อมระหว่างถนนหลักสองสายนี้ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเส้นทางที่สวยที่สุด โดยเฉพาะในฤดูใบไม้ร่วงซึ่งจะได้เห็นภาพที่แปลกตาและโดดเด่น ดูสดใสต่างจากสีเขียวในฤดูร้อน
เส้นทางนี้มีความสวยงามมากแต่เดินทางค่อนข้างลำบาก เพราะไม่มีถนนลาดยางตลอดทาง ดังนั้นจึงสามารถชมทิวทัศน์ที่สวยงามท่ามกลางความสงบ
และด้วยความที่ไม่พลุกพล่านจึงมีโอกาสได้พบกับสัตว์ป่าเช่นกัน

ทางหลวงเดนาลี (Denali Highway)
Fairbanks (แฟร์แบงค์ส)
แฟร์แบงค์สเป็นอีกหนึ่งเมืองใหญ่ในอลาสก้าซึ่งเคยเป็นถิ่นที่อยู่ของชาวพื้นเมือง ที่เรียกว่าชาวอาธาบัสกัน (Athabascan) ปัจจุบันแฟร์แบงค์สเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงสำหรับกิจกรรมฤดูหนาว เช่น สุนัขลากเลื่อน การชมแสงเหนือ
เมืองแฟร์แบงก์ส (Fairbanks)
เมืองแฟร์แบงก์ส (Fairbanks)
Chena Hot Springs (น้ำพุร้อนเชนา)
ไม่ไกลจากแฟร์แบงค์ส มีการค้นพบแหล่งน้ำพุร้อนเมื่อกว่า 100 ปีที่แล้ว ปัจจุบันมีการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้คนทั่วไปเข้ามาใช้น้ำพุร้อนเพื่อผ่อนคลาย นอกจากนี้ที่นี่ยังใช้พลังงานความร้อนในการผลิตไฟฟ้าใช้และมีแผนจะศึกษาพลังงานทางเลือกประเภทอื่นๆ อีกด้วย
อลาสก้าเป็นดินแดนห่างไกลที่ดูลึกลับสำหรับหลาย ๆ คน แต่แท้จริงแล้วพื้นที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความสวยงาม ทั้งหมู่บ้านน่ารัก ๆ ธารน้ำแข็งที่แสดงความน่าเกรงขามของธรรมชาติ อากาศที่บริสุทธิ์ สัตว์ทะเลชนิดต่าง ๆ และแนวภูเขาที่แต่งเติมให้เส้นขอบฟ้าดูโดดเด่น
นอกจากวิวธารน้ำแข็งที่เป็นเอกลักษณ์ของแถบนี้แล้ว อีกภาพที่หาดูได้ยากก็คือความสวยงามของใบไม้ที่เปลี่ยนสีในช่วงฤดูใบไม้ร่วงตัดกับสีท้องฟ้า ทั้งหมดมารวมกันอยู่ที่อลาสก้านี่เอง
การได้ชมสีสันและความสวยงามของฤดูใบไม้ร่วงนั้นต้องอาศัยจังหวะเวลาที่เหมาะสมจึงจะได้ซึมซับความงามอย่างเต็มที่ และประสบการณ์นั้นจะยิ่งพิเศษหากได้มาเห็นภาพนั้นในสถานที่อันห่างไกลที่ไม่ใช่ทุกคนจะมีโอกาสมาสัมผัส อย่างเช่นดินแดนสุดขอบโลกแห่งนี้

แม่น้ำชีนา (Chena River)