กลางวันที่แสนยาวนานในดินแดนแห่งภูเขาไฟที่ประเทศอินโดนีเซีย ทำไมน่ะหรือ เพราะทริปนี้เป็นทริปนอนน้อย สายตาหมีแพนด้า เราเดินทางไปยังสถานที่ที่ได้ชื่อว่า เป็นลมหายใจของพระเจ้า อย่าง ภูเขาไฟโบรโม่(Bromo) การตามล่าเปลวไฟสีน้ำเงิน(Blue Frame)ที่สามารถชมได้ไม่กี่แห่งบนโลกใบนี้ที่ คาวาอีเจี้ยน(Kawah Ijeh) น้ำตกMadakaripura น้ำตกลึกลับที่ซ่อนอยู่ท่ามกลางหุบเขา
Topic ของโพสต์นี้คงทำให้เพื่อนๆ ฉงนว่า อะไรคือลมหายใจของพระเจ้า Blue Frameคืออะไร แล้วไหนจะกลางวันที่แสนยาวนาน เราจะพาเพื่อนๆ ไขปริศนาทั้งสามสิ่งนี้ โดยเริ่มกันที่ “กลางวันที่แสนยาวนาน” เหตุผลมาจาก การไปชมสถานที่ต่างๆของทริปนี้จำเป็นที่จะต้องตื่นเช้ามากกกกก…ก (ลาก ก ไก่ ไปยาวๆเลย) เวลาประมาณตีหนึ่งตีสองแทบทุกวัน ไม่รวมต้องตื่นมาล้างหน้า เขียนคิ้ว แปรงฟัน เปลี่ยนชุด ขุ่นพระ!! สาวๆที่อยากหน้าเป๊ะ แนะนำให้แต่งหน้านอนไปเลยจ้า สถานที่ที่เราจะไปกันเริ่มต้นกันที่เมืองสุราบายา(Surabaya)
การเดินทาง
สำหรับการเดินทางมาเมืองสุราบายานั้น จากกรุงเทพนั้นยังไม่มีบินตรง จำเป็นต้องต่อเครื่อง โดยแวะพักที่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เราจึงเลือกใช้บริการสายการบินหางแดงอย่าง Air Asia ออกจากกรุงเทพฯเช้า ถึงสุราบายาบ่ายๆ ระยะเวลาเดินทางประมาณ 7 ชั่วโมงกว่าๆ
เมืองสุราบายา(Surabaya)
เมืองใหญ่อันดับสองของประเทศอินโดนีเซีย จุดเริ่มต้นของการเดินทางเพื่อไปยังจุดหมายปลายทางของทริปนี้ คือ ภูเขาไฟโบรโม่(Bromo) คาวาอิเจี้ยน(Kawah Ijen)
คำว่า “สุราบายา(Surabaya)” เป็นภาษาอินโดนีเซีย มาจากคำว่า “Sura” แปลว่า ปลาฉลาม และ คำว่า “Baya” แปลว่า จระเข้ สัญลักษณ์ของเมืองนี้จึงเป็นรูปปลาฉลามกำลังสู้กับจระเข้นั่นเอง
จากเมืองสุราบายา ไปภูเขาไฟคาวาอีเจี้ยน (Kawah Ijen) ใช้เวลา 6-7 ชั่วโมง เส้นทางค่อนข้างคดเคี้ยว สลับกับเป็นแนวขึ้นเขา พาเสียวหัวใจเต้นตุ้มๆต่อมๆให้เลือดสูบฉีด เสียงแตรรถที่ดังขึ้นทุก 30 วินาที จึงเป็นเรื่องปกติ ทั้งนี้การขึ้นไปชม Highlight อย่าง Blue Flame หรือเปลวไฟสีน้ำเงิน ที่ปากปล่องภูเขาไฟคาวาอีเจี้ยน จำเป็นที่จะต้องเห็นในช่วงเวลากลางคืนเท่านั้น ประมาณ 06.00 น. ก็จะมองไม่เห็น ในการออกตามล่าหาเปลวไฟสีน้ำเงินจึงเริ่มขึ้นตั้งแต่ ตี 2 หรือ ตี 3 ทั้งนี้ เปลวไฟสีน้ำเงินดังกล่าว เกิดจาก การทำปฏิกิริยาของกำมะถันกับความร้อนใต้ภิภพ นั่นเอง
ภูเขาไฟคาวาอีเจี้ยน (Kawah Ijen) เป็นหนึ่งในภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ นับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของอินโดนีเซียที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงเวลานี้ ด้วยสถานที่ที่เป็นภูเขาไฟ ที่มีภูมิทัศน์แปลกตา อีกทั้งยังมีเปลวไฟสีน้ำเงิน หรือ Blue Flame ที่สามารถรับชมได้ไม่กี่แห่งบนโลก
เวลาประมาณตีสอง ชุดพร้อม ร่างกายพร้อม หน้าพร้อม ไฟฉายพร้อม ลุย!!! จากโรงแรมไปยังจุดเริ่มต้นเดิน อากาศค่อนข้างหนาว กลิ่นของกำมะถันที่โชยอ่อนมาให้ได้กลิ่นตั้งแต่จุดเริ่มเดิน และจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเมื่อใกล้ยอดเขา บริเวณยอดเขาจะมีป้ายเตือนเรื่องมลพิษอีกครั้ง ดังนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสวมหน้ากากเพื่อป้องกันการได้รับปริมาณก๊าซที่มากเกินไป บริเวณปากปล่องภูเขาไฟมีความกว้างใหญ่หลักกิโลเมตร มีทะเลสาบสีเขียวมรกตขนาดใหญ่ที่สวยงาม จากตรงนั้นเองเราสามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นได้ ครั้นเมื่อแสงแดดยามเช้าตกกระทบกับผิวน้ำ เปลี่ยนน้ำในทะเลสาปให้สีเข้มขึ้น คล้ายสีเทอควอยซ์ ซึ่งบางช่วงเวลาควันของกำมะถันภูเขาไฟก็จะพัดผ่านมา นับเป็นภาพที่สวยงามน่าประทับใจจริงๆ การถ่ายรูปปากปล่องภูเขาไฟ ที่มีควันจางๆ หรือจะถ่ายรูปท่ามกลางควันก็ดูจะมีสีสันดี
บางสิ่ง มองไม่เห็น น่ะดีแล้ว
เมื่อท้องฟ้าสว่างเผยให้เห็นเส้นทางที่เราเดินมา แนวภูเขาไฟ 360 องศา ร่องรอยของลาวาตามแนวภูเขาไฟที่จะสามารถพบเห็นได้ตลอดเส้นทางการเดินที่ผ่านมา และเป็นเส้นทางเดียวกับการเดินกลับ เส้นทางบางช่วงเรียบหน้าผา บางช่วงเดินตามแนวสันเขา และค่อนข้างอันตราย(มาก) พลาดไปคือเจอกัน ภพหน้า!! จนทำให้มีคำถามหนึ่งเกิดขึ้นมาเสมอ “เราขึ้นมาทางนี้เลยหรอ??” ดีแล้วที่ตอนนั้นมืดมากเลยมองแค่ทางที่จะต้องเดิน ไม่ได้มองวิวสองข้างทาง (เฮ้อ… ถอนหายใจโล่งอกหนึ่งที)
หลังจากเราเดินทางกลับจากภูเขาไฟคาวาอีเจี้ยนแล้ว มุ่งหน้าสู่ภูเขาไฟโบรโม่ ประมาณ 6 ชั่วโมง ตีสองของอีกวัน เตรียมตัวขึ้นโบรโม่
โบรโม่(Bromo) ลมหายใจของพระเจ้า
ภูเขาไฟโบรโม่(Bromo) ตั้งอยู่ที่เมือง Probolingoในอุทยานแห่งชาติโบรโมเทงเกอร์เซเมรู เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาเทงเกอร์มาสซีฟ บนเกาะชวาตะวันออก(East Java) ประเทศอินโดนีเซีย ยอดภูเขาไฟนี้มีความสูง 2,329 เมตร ซึ่งไม่ได้เป็นยอดเขาที่สูงที่สุด แต่ได้รับความนิยมอย่างมาก นึกภาพสิ จะมีภูเขากี่ลูกที่ยังคุกรุ่น พร้อมปะทุขึ้นมาทุกเมื่อควันสีขาวจางๆ ของซัลเฟอร์พัดโชยมาเนืองๆ มีทะเลหมอกเป็นฉากหน้า มีภูเขาไฟเป็นฉากหลัง และเมื่อยามที่หมอกหายไปก็จะเผยให้เห็นทุ่งหญ้าสะวันนาด้านล่างที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ กลายเป็นเถ้าถ่านที่มีละเอียดและความอุดมสมบูรณ์มาก ซึ่งที่หมู่บ้าน Cemero Lawang เราสามารถชมวิวได้แบบพาโนรามา
คำว่า “Bromo” มาจากตัวสะกดในภาษาชวาของคำว่า “พรหม” ซึ่งเป็นพระนามของพระเจ้า จึงเป็นที่ มาของคำว่า ลมหายใจของพระเจ้า
ซึ่งเป็นพระนามของเทพเจ้าในศาสนาฮินดู ทุกๆปีในเดือนธันวาคมจะมีเทศกาล Yadnya Kasada ซึ่งเป็นเทศกาลที่ชาวบ้านจะเดินขึ้นไปบนเขาเพื่อบูชาเทพเจ้า โดยการโยนอาหาร ดอกไม้ สัตว์บูชายัญลงไปในปล่องภูเขาไฟ
ในการเดินทางเพื่อขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นนั้น เราจะนั่งรถ Jeep ไปยังด้านล่างของภูเขาไฟ แล้วเดินต่อด้วยเท้าไปยังด้านบน ซึ่งเราจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมกันตั้งแต่เช้า(มากๆ) อีกวันประมาณตีสองหรือตีสาม สำหรับการพิชิตยอดภูเขาไฟโบรโม่นั้น สามารถเลือกเดินหรือขี่ม้าไปก็ได้ ทั้งนี้ระหว่างทางจะมีช่อดอกไม้ จำหน่ายตามความเชื่อที่ว่า จะสมหวังในความรักหากอธิษฐานแล้วโยนช่อดอกไม้ลงไปในปล่องภูเขาไฟ
ดวงอาทิตย์เคลื่อนตัวขึ้นสูง แสงแดดค่อยๆเปลี่ยนสี โบรโม่ที่ซ่อนตัวในม่านหมอกเผยให้เห็นความสวยงามของภูเขาไฟแห่งนี้ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ หากท้องฟ้าเปิดก็จะสามารถเห็นภูเขาไฟอีกลูกทางด้านหลังภูเขาไฟโบรโม่ ไกลๆโน้น ภูเขาไฟลูกนี้ชื่อว่า ภูเขาไฟเซมารู(Semeru) เป็นภูเขาไฟที่สูงที่สุดบนเกาะชวา สูง 3,676 เมตรจากระดับน้ำทะเล และเป็นสวรรค์ของนักปีนเขาอีกแห่ง
ใกล้กันกับภูเขาไฟโบรโม่ยังมีน้ำตกขนาดใหญ่ที่ซ่อนตัว ชื่อว่าน้ำตก Blawa เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ ทรงพลัง
น้ำตก Madakaripura
น้ำตกมาดาการิปูระ(Madakaripura Waterfall)หลังจากกลับมาจากโบรโม่ ใกล้กันนั้น มีน้ำตกที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่ง ชื่อว่า น้ำตก Madakaripura เป็นน้ำตกที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาลึก สูงกว่า 200 เมตร ของหมู่บ้าน Sapih น้ำตกแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ปฏิบัติกรรมฐานของขุนพลผู้ยิ่งใหญ่ในอดีต นาม Gajah Mada ที่คอยต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่ตรงบริเวณปากทางเข้าน้ำตก จากปากทางเข้าน้ำตกหากเดินด้วยเท้าจะใช้เวลาประมาณ 20 นาที ทั้งนี้ มีบริการเข้าไปด้วยรถมอเตอร์ไซค์ เช่นกัน อีกทั้งมีจำหน่ายเสื้อกันฝน เพราะถ้าเข้ามาแล้ว เปียก เปียกแน่นอน
น้ำตก Madakaripura มีลักษณะเป็นน้ำตกหลายๆสายไหลเป็นสายม่าน มีเส้นหลักๆอยู่ 4 สาย ไหลรวมกัน กลายเป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ละอองน้ำฟุ้งกระจายตลอดทั่วทั้งบริเวณไหลกระทบโขดหินน้อยใหญ่เกิดเป็นละอองน้ำที่ฟุ้งกระจายอยู่ทั่วบริเวณ เมื่อยามที่แสงอาทิตย์มาตกกระทบ กลายเป็น สายรุ้งเรียงรายสวยงาม สร้างบรรยากาศให้สถานที่แห่งนี้มีความเขียวชะอุ่มชุ่มชื้นได้เป็นอย่างดี
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทุกครั้งหลังการเดินทางครั้งหนึ่งสิ้นสุด
ครั้งนี้ก็เช่นกัน
Patourlogy